มจธ. ส่ง FIBO – ศูนย์ Login รับทุนสนับสนุนจากกองทุนเศรษฐกิจดิจิทัล ยกระดับหุ่นยนต์ CARVER ปฏิรูปโลจิสติกส์โรงพยาบาล ลดปัญหาแออัด เพิ่มความแม่นยำในการขนส่ง
ศูนย์วิจัยระบบอัตโนมัติภายในโรงพยาบาล
(HAC,
Hospital Automation Research Center) สถาบันวิทยาการหุ่นยนต์ภาคสนาม
(FIBO, Institute of Field Robotics) ต่อยอดนวัตกรรมหุ่นยนต์
CARVER Mini ที่เคยนำไปใช้ในโรงพยาบาลสนาม ดูแลผู้ป่วยโควิด-19 สู่การพัฒนาหุ่นยนต์อัตโนมัติในชุด CARVER-AMR ให้ใช้งานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้นด้วยศาสตร์ของโลจิสติกส์
เพื่อยกเครื่องระบบโลจิสติกส์ในโรงพยาบาลแบบครบวงจร
โดยร่วมมือกับศูนย์วิจัยนวัตกรรมโลจิสติกส์
(Login)
บัณฑิตวิทยาลัยการจัดการและนวัตกรรม (GMI) มจธ.
มาวิจัยโลจิสติกส์ในโรงพยาบาลทั้งระบบ เพื่อออกแบบโซลูชันโลจิสติส์และหุ่นยนต์ (Robotics)
ให้เหมาะสมกับการใช้งาน ปัญหา และความต้องการของแต่ละโรงพยาบาล
ด้วยเป้าหมายลดความผิดพลาด
ลดภาระงานของบุคลากรทางการแพทย์ เพิ่มขีดความสามารถด้านบริการ
เพื่อให้ผู้ป่วยได้รับบริการที่รวดเร็วและลดความแออัด นำไปสู่การสร้าง Smart
Hospital ด้วยโซลูชันที่เหมาะสมกับลักษณะเฉพาะตัวของแต่ละโรงพยาบาล
และใช้ประโยชน์ได้จริง
ทั้งนี้
โครงการยังเปิดรับโรงพยาบาลที่สนใจนำหุ่นยนต์ CARVER-AMR ไปทดสอบ พร้อมออกแบบโซลูชันโลจิสติกส์ที่เหมาะสมในโรงพยาบาล
ผศ.สุภชัย วงศ์บุณย์ยง รองผู้อำนวยการฝ่ายวิชาการสถาบันวิทยาการหุ่นยนต์ภาคสนาม ผู้ก่อตั้งศูนย์วิจัยระบบอัตโนมัติภายในโรงพยาบาล (HAC@FIBO) และหัวหน้าทีมผู้พัฒนาหุ่นยนต์ CARVER กล่าวว่า ปีนี้โครงการวิจัยและพัฒนาหุ่นยนต์ CARVER ได้รับทุนวิจัยจากกองทุนเศรษฐกิจดิจิทัล มาต่อยอดพัฒนาหุ่นยนต์เคลื่อนที่ (Mobile Robot)
เพื่อนำมาใช้งานในโรงพยาบาลอย่างมีประสิทธิภาพ และสามารถขนส่งของหนักขนาดใหญ่ในโรงพยาบาลได้ โดยขณะนี้อยู่ในขั้นตอนการทดสอบความสามารถพื้นฐานของหุ่นยนต์ และการเข้าถึงพื้นที่ต่างๆ ในโรงพยาบาล
ปัจจุบันหุ่นยนต์
CARVER-AMR
กำลังทดสอบอยู่ในโรงพยาบาล 4 แห่ง คือ โรงพยาบาลตำรวจ,
โรงพยาบาลราชวิถี, โรงพยาบาลราชพิพัฒน์
และสถาบันการแพทย์จักรีนฤบดินทร์ โรงพยาบาลรามาธิบดี
“การทดสอบ CARVER-AMR ในโรงพยาบาลขณะนี้เป็นการทดสอบความสามารถพื้นฐานของหุ่นยนต์
การวางแผนที่การเคลื่อนที่ของหุ่นยนต์ในโรงพยาบาลว่า
สามารถขนส่งของขนาดใหญ่ที่มีน้ำหนักมากไปในพื้นที่ต่างๆ ได้อย่างไร
เช่น
พื้นที่ที่มนุษย์เข้าได้ หุ่นยนต์ต้องเข้าได้
เช่นเดียวกับพื้นที่ที่รถวิลแชร์เข้าได้ หุ่นยนต์ก็ควรเข้าได้
แต่มีพื้นที่ที่ยังเป็นข้อจำกัดอยู่ อย่างบางพื้นที่ในโรงพยาบาลที่มีธรณีประตูสูงๆ
อาจเข้าไม่ได้ หรือ ทางลาด 7 องศา
ก็จะเริ่มมีผลต่อการเคลื่อนที่
ซึ่งนี่คืออุปสรรคที่หุ่นยนต์ต้องก้าวข้ามผ่านไปให้ได้” ผศ.สุภชัย อธิบาย
การนำหุ่นยนต์เคลื่อนที่อัตโนมัติไปใช้งานในโรงพยาบาล
จะพิจารณาจาก 3 ปัจจัยหลักๆ คือ
เป็นงานที่สกปรก เป็นงานที่อันตราย และเป็นงานที่ทำซ้ำๆ
ตัวอย่างจากการนำหุ่นยนต์ CARVER Mini เข้าไปใช้ในโรงพยาบาลสนามเพื่อดูแลผู้ช่วยโควิด-19 ที่ผ่านมา เป็นการนำไปใช้ในกิจกรรมที่เสี่ยงต่อโรค สกปรก และอันตราย ขณะเดียวกันการขนส่งอาหารและยา ก็เป็นกิจกรรมที่ทำซ้ำๆ และต้องทำวันละหลายๆ รอบ จึงเหมาะสมกับการนำหุ่นยนต์อัตโนมัติเข้าไปใช้งาน
ทั้งนี้
การพัฒนาหุ่นยนต์ CARVER-AMR เป็นการใช้งานเพื่อเสริมศักยภาพทั้งระบบของโรงพยาบาล
เป้าหมายคือยกระดับโรงพยาบาลไทยให้เป็น Smart Hospital
โลจิสติกส์จึงเข้ามามีบทบาทในการออกแบบการเคลื่อนที่ของสรรพสิ่งทั้งระบบในโรงพยาบาลเพื่อลดความสูญเปล่า
ใช้ประโยชน์จากความสามารถของบุคลากรได้อย่างเต็มที่ และเพิ่มขีดความสามารถในการทำงานด้วยหุ่นยนต์
ด้าน
ผศ.กานดา บุญโสธรสถิตย์ หัวหน้าศูนย์วิจัยนวัตกรรมโลจิสติกส์ หรือ ล็อกอิน (Login)
กล่าวว่า
การนำโลจิสติกส์เข้ามาประกอบกับงานวิจัยจะช่วยให้การออกแบบหุ่นยนต์นั้นสมจริง
นำไปใช้งานได้จริง
เนื่องจากโลจิสติกส์จะสามารถบอกได้ว่าหุ่นยนต์จำเป็นต้องทำอะไรบ้าง
และควรเพิ่มความสามารถด้านใด เพื่อให้สอดคล้องกับพฤติกรรมของบุคลากร คนไข้
และข้อจำกัดต่างๆ เช่น พื้นที่ งบประมาณ ซึ่งมีความแตกต่างกันในแต่ละโรงพยาบาล
“ยกตัวอย่าง
การพัฒนาห้องยาอัตโนมัติ จะไม่สามารถนำหุ่นยนต์เข้าไปใช้งานทันทีได้
เนื่องจากต้องเข้าใจก่อนว่าข้อจำกัดและขั้นตอนการทำงานของห้องยาเป็นอย่างไร
ตั้งแต่รับใบยา
ตรวจสอบใบยา จัดยาตามใบยา ตรวจสอบรายการยา ก่อนจ่ายยาให้กับคนไข้
แล้วเลือกเทคโนโลยีที่เหมาะสมมาใช้งาน โดยพิจารณาทั้งระบบ ไม่ใช่เฉพาะบางขั้นตอน
หรือบางกิจกรรมเท่านั้น
ดังนั้น นักโลจิสติกส์จึงจำเป็นมากในการช่วย System Integrator ในการออกแบบหุ่นยนต์ ระบุประเภทและจำนวนหุ่นยนต์ที่เหมาะสม
เพื่อให้การนำหุ่นยนต์และระบบอัตโนมัติไปใช้งานได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ด้วยราคาที่สมเหตุสมผล และโรงพยาบาลได้ประโยชน์จริง” ผศ.กานดา อธิบายเสริม
หัวหน้าศูนย์วิจัยนวัตกรรมโลจิสติกส์
กล่าวเพิ่มเติมว่า
การออกแบบกระบวนการโลจิสติกส์ยังช่วยให้สามารถวิเคราะห์ได้ว่าโรงพยาบาลแต่ละแห่งควรพัฒนา
และนำหุ่นยนต์และระบบอัตโนมัติระดับใดมาใช้
เช่น โรงพยาบาลรัฐขนาดใหญ่ที่มีคนไข้เข้ามาพร้อมๆ กันเป็นจำนวนมาก มีความแออัดมาก อาจพัฒนาไปถึงระบบอัตโนมัติเต็มรูปแบบ แต่หากเป็นโรงพยาบาลที่ขนาดเล็กลงมา อาจใช้ระบบกึ่งอัตโนมัติก็ได้ ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับนโยบายของผู้บริหารว่าต้องการให้โรงพยาบาลไปในทิศทางใด
ผศ.วรพจน์
อังกสิทธิ์ คณบดีบัณฑิตวิทยาลัยการจัดการและนวัตกรรม (GMI)
กล่าวว่า หัวใจสำคัญของโลจิสติกส์ คือ
การทำอย่างไรให้กระบวนการทำงานมีประสิทธิภาพมากที่สุด ได้ปริมาณงานมากที่สุด
ขณะเดียวกันก็มีค่าใช้จ่ายที่น้อยที่สุด
ซึ่งปัจจุบันเทคโนโลยีหุ่นยนต์เข้ามีบทบาทในอุตสาหกรรมไทยอย่างมาก
โดยเฉพาะอุตสาหกรรมการผลิต ขณะที่การบริการ ก็เริ่มเห็นการนำหุ่นยนต์มาใช้มากขึ้น
เช่น โรงแรม, สนามบิน
ทั้งนี้
ก่อนที่จะนำเทคโนโลยีใดเข้ามาใช้
โลจิสติกส์จะเป็นตัวช่วยศึกษาว่าการทำงานทั้งหมดที่อยู่ในพื้นที่ดีเยี่ยมอยู่แล้วหรือไม่
หากยังมีช่องว่าง หรือความสูญเสีย จะสามารถระบุได้ว่าเป็นเรื่องใดควรปรับแก้ไข
ก่อนที่จะนำเทคโนโลยีเข้ามาใช้
“บทบาทของศูนย์วิจัยโลจิสติกส์จะเข้ามาช่วยดูว่าหุ่นยนต์ควรทำงานรูปแบบใด
ความเหมาะสมของการใช้งานหุ่นยนต์ เพื่อให้การทำงานมีประสิทธิภาพสูงสุด เช่น
การวางผังการเคลื่อนที่ของหุ่นยนต์ การจัดจำนวนของหุ่นยนต์ว่าควรใช้เท่าไหร่
โลจิสติกส์สามารถบอกได้เลยว่ากิจกรรมนี้
หรือ งานนี้จำเป็นต้องใช้หุ่นยนต์จำนวนเท่าไหร่ถึงจะเหมาะสม
ซึ่งจะช่วยให้กระบวนการทำงานทั้งระบบคล่องตัว มีประสิทธิภาพ และแม่นยำมากขึ้น
ผสมผสานกับหุ่นยนต์ที่ถูกพัฒนาให้เหมาะสมกับการใช้งานและพื้นที่ปฎิบัติงาน”
ผศ.วรพจน์ กล่าว
การนำหุ่นยนต์มาใช้งาน
ไม่ใช่เป้าหมายเพื่อการทดแทนแรงงาน แต่เป็นการเพิ่มศักยภาพการทำงานให้ทวีคูณ เช่น
ปัจจุบันการทำงานในพื้นที่อาจทำแล้วได้งานเพียง 80%
เนื่องจากมีความสูญเสียเกิดขึ้นระหว่างการทำงาน
กระบวนการโลจิสติกส์จะมาดูว่าเกิดสูญเสียอะไรบ้าง
และแก้ไขได้อย่างไร เพื่อให้การทำงานทำได้เต็ม 100% ขณะเดียวกันก็ค้นหาว่ามีกระบวนการไหนที่จะนำหุ่นยนต์เข้ามาใช้งาน
เพื่อเพิ่มศักยภาพการทำงานจาก 100% เพิ่มขึ้นเป็น 200% หรือ 300%
ทั้งนี้
การนำหุ่นยนต์ และระบบโลจิสติกส์เข้ามาใช้ในโรงพยาบาล จะช่วยในการจัดระบบ จัดคิว
จัดกำลังคนให้เหมาะสมกับจำนวนผู้ป่วย การทำงานของโรงพยาบาลก็จะดีขึ้น เร็วขึ้น
เวลาที่ผู้ป่วยรอคอยภายในโรงพยาบาลก็จะลดลง ประสิทธิภาพการรักษาของแพทย์ก็จะดีขึ้น
ทั้งนี้ โครงการวิจัยและพัฒนาหุ่นยนต์ CARVER-AMR ได้รับทุนสนับสนุนจากกองทุนเศรษฐกิจดิจิทัล เพื่อพัฒนาหุ่นยนต์เคลื่อนที่อัตโนมัติใช้งานในโรงพยาบาล โดยโรงพยาบาลที่สนใจทดสอบหุ่นยนต์ สามารถติดต่อสถาบันวิทยาการหุ่นยนต์ภาคสนาม (FIBO) เพื่อร่วมเป็นส่วนหนึ่งพัฒนานวัตกรรมอัตโนมัติเพื่อการแพทย์ในครั้งนี้ได้ที่เฟซบุ๊ก www.facebook.com/CarverAMR และ www.facebook.com/HacFibo หรือปรึกษาด้านโลจิสติกส์ได้ที่ www.login2login.com
ที่มา
:
กรุงเทพธุรกิจ
วันที่ 3 สิงหาคม 2565