สุนทรียภาพเป็นเรื่องของรสนิยมที่สามารถขายและสร้างมูลค่าได้ เป็นความคลาสสิกที่ไม่ว่าเมื่อไหร่ก็สามารถสร้างความแตกต่างและโดดเด่นได้ ซึ่งการดื่มกาแฟก็ถือเป็นศาสตร์และศิลป์ที่มีความลึกซึ้ง ซึ่งหลายคนอาจคิดไม่ถึงว่าความซับซ้อนเหล่านี้ก็สามารถสร้างสรรค์ผ่านระบบอัตโนมัติได้อย่างละเมียดละไม ภายใต้แนวคิดของ Robosta Cafe’ รสนิยม สุนทรียภาพและเทคโนโลยีสามารถผสมผสานกันได้อย่างกลมกล่อมลงตัว
ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าวัฒนธรรมการกินกาแฟนั้นกลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตผู้คนยุคใหม่ไปแล้ว
ซึ่งตลาดกาแฟในประเทศไทยนั้นก็มีความแตกต่างหลากหลายเป็นอย่างมากตั้งแต่กาแฟสดรถเข็น
ร้านเจ้าประจำหน้าปากซอย กาแฟซองปรุงสำเร็จ กาแฟตามร้านสะดวกซื้อ
เชนกาแฟรายใหญ่ไปจนถึงร้านสำหรับคนรักกาแฟโดยเฉพาะ
ซึ่งหัวใจสำคัญของร้านกาแฟนั้นเกิดขึ้นได้จากรสชาติที่พ่วงมากับราคาที่เหมาะสมกับกลุ่มเป้าหมาย
ทั้งรสชาติและราคาขายต่างเกี่ยวข้องโดยตรงกับต้นทุนไม่ว่าจะเป็นค่าแรงสำหรับคนชงกาแฟที่แปรผันไปตามทักษะความสามารถ
ค่าสถานที่ ค่าวัตถุดิบต่าง ๆ
ในขณะที่ขั้นตอนกระบวนการสำหรับร้านกาแฟก็มีรายละเอียดที่ต้องพิถีพิถันไม่น้อย
ทำให้การนำแนวคิดการใช้ระบบอัตโนมัติสำหรับร้านกาแฟเพื่อลดต้นทุนเกิดขึ้นมาทั่วโลก
สำหรับในประเทศไทยเราอาจเคยเห็นหุ่นยนต์ชงกาแฟตามงานแสดงสินค้าต่าง ๆ
ที่ถูกใช้ในบทบาทของสัญลักษณ์แห่งนวัตกรรมและความหรูหรา เช่น
งานแสดงสินค้าอุตสาหกรรม งานแสดงนวัตกรรมระดับชาติ
แต่ในวันนี้โซลูชันสำหรับร้านกาแฟระบบอัตโนมัติที่สามารถใช้งานได้จริงในประเทศไทยได้เกิดขึ้นแล้ว
สามารถตอบสนองต่อการเปิดร้านสำหรับขายในแบบ Kiosk ไปจนถึงการใช้งานเพื่อส่งเสริมภาพลักษณ์ของแบรนด์
โดยโซลูชันที่เกิดขึ้นนี้ ชื่อว่า Robosta Cafe’ จาก BRAINWORKS
ผู้ผลิตชาวไทยที่มากด้วยฝีมือและวิสัยทัศน์
Robosta Cafe’ ผลิตกาแฟสดด้วย IoT เต็มรูปแบบ
จากนวัตกรรมที่มีรากฐานมาจากระบบการผลิตอัตโนมัติยุคดิจิทัล
หรือที่เราคุ้นเคยกันในชื่อว่า การปฏิวัติอุตสาหกรรมครั้งที่ 4
(Industrie 4.0) ทำให้เกิดการต่อยอดระบบอัตโนมัติภายในโรงงานด้วยการผสานนวัตกรรมดิจิทัล
ไม่ว่าจะเป็นการใช้ Cloud หรืออุปกรณ์ไร้สายที่ถูกออกแบบให้จัดส่งข้อมูลการผลิตแบบ
Real-time สิ่งเหล่านี้ก่อให้เกิด Productivity ที่โปร่งใส ชัดเจน และสามารถแก้ไขปัญหาได้อย่างทันท่วงที
แต่จินตนาการกันได้ไหมครับว่าหากนำศักยภาพเหล่านี้มาใส่ลงในร้านกาแฟร้านหนึ่งมันจะออกมาเป็นอย่างไร?
Robosta Cafe’ เรียกได้ว่าเป็นร้านกาแฟยุคดิจิทัลที่ไม่แทบจะไม่แตกต่างไปจากโรงงานอุตสาหกรรมอัตโนมัติเต็มรูปแบบ
มนุษย์มีหน้าที่หลักในการซ่อมบำรุงหรือเติมวัตถุดิบเท่านั้น แต่สำหรับสูตรกาแฟ
การชง การเสิร์ฟ ไปจนถึงการสั่งกาแฟและการจ่ายเงินจะถูกดำเนินการผ่านแพลตฟอร์มอัตโนมัติ
เริ่มตั้งแต่การสั่งกาแฟนผ่านหน้าจอที่มีกาแฟให้เลือกหลากหลายสูตร
ไปจนถึงการปรับเลือกขนาดแก้วหรือรายละเอียดอื่น ๆ
เมื่อถึงเวลาจ่ายค่ากาแฟก็สามารถทำได้ง่ายดายเพียงสแกน QR ผ่านแอปพลิเคชันธนาคารเท่านั้น
เมื่อคำสั่งเสร็จสิ้นเครื่องก็จะชงกาแฟรสชาติเยี่ยมไม่ผิดเพี้ยนจากเจ้าของสูตรมาให้พร้อมกับยื่นใบเสร็จและรหัสสำหรับรับกาแฟ
จากนั้นทำการยืนยันรหัสที่ Kiosk หุ่นยนต์ Cobot สุดเก๋ไก๋ก็จะนำกาแฟมาเสิร์ฟให้บนแท่นที่จะค่อย ๆ
ลดระดับกาแฟลงมาให้สามารถหยิบจับได้อย่างถนัดมือ
จุดเด่นของ Robosta
Cafe’s นั้นก็ไม่แตกต่างจากโรงงานอัจฉริยะ คือ
การทำงานได้โดยไม่ต้องใช้แรงงานมนุษย์ สามารถทำงานได้อย่างต่อเนื่อง
เก็บข้อมูลการทำงานทุกขั้นตอนเพื่อนำไปต่อยอดและประมวลผลแบบ Real-time มีความแม่นยำและควบคุมคุณภาพสินค้าได้อย่างไม่ผิดเพี้ยน
เรียกว่าใช้งานศักยภาพ IoT ได้อย่างเต็มที่ตั้งแต่คำสั่งซื้อ
ระบบจ่ายเงิน ไปจนถึงการ Brew กาแฟและเสิร์ฟให้กับลูกค้า Robosta
Cafe’ จึงเหมาะสำหรับการใช้งานจริงตามห้างร้านสถานที่ต่าง ๆ
โดยเฉพาะ Exclusive Club หรือโชว์รูมสินค้าที่ต้องการสะท้อนออกถึงความหรูหราและนวัตกรรมของผลิตภัณฑ์
จุดเด่นของ Robosta
Cafe’ นั้นจะเป็นอะไรไปไม่ได้นอกจากแขนกลหุ่นยนต์ Cobot ที่ตั้งตระหง่านอยู่ตรงกลาง Kiosk นั่นเอง
แต่ในความเป็นจริงแล้วสิ่งที่ทำให้ Robosta Cafe’ สามารถทำงานได้ไม่ได้มาจากแค่หุ่นยนต์เท่านั้นแต่ยังเป็นผลมาจากอุปกรณ์และแพลตฟอร์มอันชาญฉลาดด้วยเช่นกัน
โดยส่วนประกอบสำคัญสำหรับ Robosta Cafe’ ได้แก่
Cobot JAKA
หุ่นยนต์ Cobot
Jaka จากประเทศจีน ถูกออกแบบมาให้สามารถใช้งานได้อย่างง่ายดาย
มีระบบ Sensing ที่คอยป้องกันอันตรายจากการกระแทก
สามารถตั้งค่าโดยการลงแอปพลิเคชันสำหรับแท็บเบล็ตแทนการใช้งาน Teach Pendant
ทำให้สามารถตั้งค่าการทำงานได้อย่างรวดเร็ว
สามารถจับคู่กับหุ่นยนต์ได้หลายตัวโดยไม่จำเป็นต้องผูกเครื่องกับหุ่นยนต์แบบ 1:1 มี End of Arm ให้เลือกใช้หลากหลาย โดย Robosta
Cafe’ ได้ติดตั้ง Adaptive Gripper จาก Robotiq
รุ่น 2F-85 ทำให้สามารถหยิบจับวัตถุต่าง ๆ
ได้โดยไม่ต้องตั้งค่าเนื่องจากเครื่องมือสามารถตรวจจับและปรับแรงให้เหมาะสมได้ด้วยตัวเอง
ทำให้สามารถหยิบแก้วกาแฟได้โดยง่าย
Thermoplan Black&White4
อีกหนึ่งอาวุธลับสำหรับ
Robosta
Cafe’ เครื่องชงกาแฟจากสวิตเซอร์แลนด์ Thermoplan รุ่น Black&White4 เป็นเครื่องชงกาแฟรุ่นเดียวในโลกที่ใช้ระบบอัตโนมัติอย่างเต็มรูปแบบ
ผสมผสานการใช้งาน IoT สื่อสารแลกเปลี่ยนข้อมูลกับฐานข้อมูลบน
Cloud ได้เพื่อทำการเก็บข้อมูลการทำงานทุกขั้นตอน
ไม่ว่าจะเป็นวัตถุดิบ ปริมาณพลังงาน จำนวนการผลิต
ทำให้สามารถใช้ประโยชน์จากการคาดการณ์เทรนด์การขายและวางแผนรับมือได้อย่างถูกต้องแม่นยำ
สำหรับมิตรรักนักดื่มกาแฟ Black&White4
สามารถกำหนดสูตรและเมนูที่ต้องการได้อย่างอิสระ จึงมั่นใจได้ว่ากาแฟจะถูก Brew
ขึ้นถูกต้องตามมาตรฐานและความต้องการ
นอกจากนี้ยังสามารถติดตั้งออพชันเสริมได้อีกมากมาย ไม่ว่าจะเป็นการเติมไซรัปต่าง ๆ
เติมนม ทำฟองนม ไปจนถึงผงเครื่องปรุง อาทิ ช็อคโกแลตเป็นต้น เครื่องชงกาแฟน Black&White4 จึงเป็นเครื่องชงกาแฟอัตโนมัติที่ครบครันทุกความต้องการสำหรับร้านกาแฟ
โดยเฉพาะอย่างยิ่งร้านกาแฟอัตโนมัติอย่าง Robosta Cafe’
IoT Platform
แพลตฟอร์มสำคัญที่เป็นตัวการเชื่อมต่อองค์ประกอบต่าง ๆ เข้าด้วยกัน ไม่ว่าจะเป็นจอสัมผัสสำหรับสั่งกาแฟที่สามารถแสดง QR Code เพื่อการชำระเงิน อุปกรณ์สำหรับยืนยันรหัสคำสั่งซื้อ รวมทั้งการส่งคำสั่งไปยังเครื่องชงกาแฟและหุ่นยนต์อีกด้วย ตัวแพลตฟอร์ม IoT นี้จึงเป็นเหมือนส่วนที่เชื่อมต่อทุกหน่วยการทำงานเข้าด้วยกันทั้งการชงกาแฟ การเสิร์ฟ ไปจนถึงด้านการเงิน
Robosta Cafe’ ‘กล้า’ ที่จะส่งต่อสุนทรียภาพด้วยเทคโนโลยี
เราสามารถมองเห็นร้านเครื่องดื่มหรือร้านกาแฟต่าง
ๆ ได้ทั่วทุกหัวมุมถนน ไม่ว่าจะแบรนด์ดังหรือร้านเด็ดประจำท้องถิ่น นอกเหนือไปจากคาเฟอีน
การดื่มเพื่อดับร้อน หรือการดื่มด้วยความเคยชินแล้ว
วัฒนธรรมการดื่มกาแฟยังกลายเป็นอีกหนึ่งกิจกรรมที่สะท้อนรสนิยม ความสุนทรีย์
ไปจนถึงภาพลักษณ์ได้ จึงไม่น่าแปลกใจที่แบรนด์หรูทั้งหลายเริ่มหันมาใช้ Life
Style อย่างกาแฟเพื่อส่งเสริมภาพลักษณ์ให้กับแบรนด์ของตัวเอง
ร้านกาแฟระบบอัตโนมัติอย่าง
Robosta
Cafe’ ในฐานะที่เป็นปลายยอดของนวัตกรรมที่ผสมผสานเข้ากับ Lifestyle
นั้นไม่เพียงเป็นเรื่องแปลกใหม่ของประเทศไทย
แต่ยังคงต้องอาศัยความกล้าและวิสัยทัศน์ที่เฉียบคมไม่ว่าจะเป็นการพัฒนาให้สามารถใช้งานได้จริง
ความสามารถในการผลิตซ้ำที่ไม่ใช่เพียงการบูรณาการเฉพาะกิจ
ไปจนถึงการตลาดที่จะรองรับการมีอยู่ของเทคโนโลยีอันล้ำสมัย
แนวคิดเหล่านี้เปิดประตูสู่โอกาสใหม่จำนวนมาก
ไม่ว่าจะเป็นตลาดของการผลิตหุ่นยนต์เพื่องานบริการ
การใช้งานเทคโนโลยีอัตโนมัติสำหรับงานด้านภาพลักษณ์และนวัตกรรมของแบรนด์
การขยายสาขาแฟรนไชส์สำหรับร้านขายอาหารแบบอัตโนมัติ การมาถึงของ Robosta
Cafe’ เป็นการยืนยันว่าหุ่นยนต์
ระบบอัตโนมัติ ไปจนถึงแพลตฟอร์ม IoT ต่าง ๆ
สามารถใช้งานได้อย่างมีประสิทธิภาพในชีวิตประจำวัน
โดยไม่ต้องดำเนินการบูรณาการเป็นรายกรณีตามความต้องการอีกต่อไป
เทคโนโลยีระดับสูงจึงมีโอกาสที่จะ Mass หรือเข้าถึงคนหมู่มากได้
ซึ่งในอนาคตจะทำให้ต้นทุนของสิ่งที่เกี่ยวข้องต่ำลงและเกิดการเติบโตขึ้นอย่างรวดเร็วไม่ต่างจากคอมพิวเตอร์หรือสมาร์ทโฟนในปัจจุบัน
แม้ว่าในเวลาปัจจุบันการใช้เทคโนโลยีราคาสูงเหล่านี้ในชีวิตประจำวันอาจดูเป็นไปไม่ได้
ก้าวแรกของ Robosta Cafe’ จึงดูเหมือนเป็นเรื่องยากลำบาก
แต่ด้วยความเข้าใจในศักยภาพของระบบที่บูรณาการและมองเห็นถึง Pain Point ที่ชัดเจน อาทิ อัตราการลาออกและการขาดแคลนของ Barista ที่เกี่ยวข้องกับเงินเดือนไปจนถึงความไม่แน่นอนของรสสัมผัสในการชงแม้จะเป็นคนชงคนเดียวกัน
ร้านเดียวกันเป็นต้น
ซึ่งถือเป็นประเด็นที่สร้างความอ่อนไหวให้ธุรกิจร้านกาแฟหรือเครื่องดื่มที่เป็นแฟรนไชส์
ความกล้าที่จะลงมือพัฒนา Robosta Cafe’ จึงสามารถแก้ Pain
Point ที่มีได้อย่างเป็นรูปธรรมและเกิดขึ้นได้จริง
เป็นการสร้างโอกาสใหม่ที่มีตรรกะรองรับอย่างชัดเจนและสมเหตุสมผล
ด้วยการเปิดตัวขึ้นเป็นรายแรกในประเทศไทย พร้อมกับหลักการและเหตุผลที่ชัดเจน
ไปจนถึงระบบการใช้งานและโมเดลธุรกิจที่จับต้องได้ ทำให้ Robosta Cafe’ ได้รับความสนใจจากธุรกิจด้านเครื่องดื่มและอาหารชั้นนำของประเทศ ด้วยความคุ้มค่าและศักยภาพที่รับประกันได้ว่าจะไม่เกิดการตกหล่นหรือผิดเพี้ยน
โดย Robosta
Cafe’ ถูกออกแบบมาให้เลือกใช้ 4 รูปแบบ ได้แก่
Robosta L-Compact บูธขนาดใหญ่
2.5×2 เมตร ที่มาพร้อมกับเทคโนโลยีเต็มรูปแบบ
สามารถขยายติดตั้งหุ่นยนต์ขนาดกลางและเครื่องทำกาแฟได้จาก 1
ชุด เป็น 2 ชุด มาพร้อม End of Arm แบบ
Adaptive ที่ทำให้การตั้งค่าต่าง ๆ เป็นเรื่องง่าย พร้อมระบบ
POS
Robosta M-Compact บูธขนาดกลาง
1.4×1.2 เมตร
มาพร้อมกับหุ่นยนต์ขนาดเล็กและเครื่องทำกาแฟอัตโนมัติ 1 ชุด
และ End of Arm แบบธรรมดาที่ต้องตั้งค่าการใช้งานหยิบจับ
พร้อมระบบ POS
Robosta E-Corner บูธเสริมที่เหมาะสำหรับร้านเบเกอรี่หรือร้านขายอาหารต่าง
ๆ ที่ออกแบบมาให้สำหรับเข้ามุม ช่วยในการคิดเงินและการขายกาแฟ
มีอุปกรณ์ภายในเช่นเดียวกับ Robosta M-Compact
Robosta Customized การออกแบบระบบพิเศษตามความต้องการของลูกค้า
เช่น ร้านกาแฟอัตโนมัติรองรับไดรฟ์ทรู หรือร้านชานมไข่มุกเป็นต้น
ไม่เพียงมีตัวเลือกสำหรับความต้องการใช้งานเท่านั้น
แต่ผู้ซื้อสามารถเลือกธีมสีและตกแต่งบางส่วนให้เข้ากับแบรนด์ของตัวเองได้
เรียกได้ว่าพร้อมใช้งานไม่ว่าจะเป็นแฟรนไชส์ขนาดเล็ก
ไปถึงเชนขนาดใหญ่ที่ต้องการคุณภาพการชงกาแฟได้มาตรฐานตามสูตร
แม้ในวันนี้ระบบอัตโนมัติสำหรับร้านกาแฟยังดูห่างไกลจากชีวิตประจำวัน
แต่การมาถึงของ Robosta Cafe’ สามารถยืนยันอนาคตที่กำลังจะเกิดขึ้นจากระบบอัตโนมัติที่ทุกคนเข้าถึงได้ในเวลาอีกไม่นานนัก
ด้วยการเปิดตัวเป็นระบบอัตโนมัติสำหรับร้านค้า ร้านอาหาร
และเครื่องดื่มรายแรกจึงไม่แปลกใจเลยที่ภาพจำในอนาคตสำหรับตลาดกลุ่ม Mass จะต้องมีชื่อของ Robosta Cafe’ อยู่เสมอไม่ว่าเวลาจะผ่านไปหรือมีคู่แข่งหน้าใหม่ปรากฎตัวขึ้นมา
Lifestyle Automation ตลาดใหม่สำหรับ SI และผู้ผลิตหุ่นยนต์
เมื่อพูดถึง Robosta
Cafe’ ภาพที่ปรากฎขึ้นมาอาจดูใกล้เคียงกับโรงงานอัตโนมัติเต็มรูปแบบ
ซึ่งอาจจะห่างไกลจากการรับรู้ของบุคคลทั่วไป แต่ถ้าเรามองให้ใกล้ตัวขึ้นมาอีกนิดจะพบว่าทุกวันนี้หลายคนอาจใช้งานระบบอัตโนมัติอยู่แล้วก็เป็นได้
ไม่ต้องมองไปไหนไกล
ขอยกตัวอย่าง Xiaomi ที่ขายของครบวงจรตั้งแต่ของใช้
สมาร์ทโฟน กล้องวงจรปิดไร้สาย
ไปจนถึงเครื่องฟอกอากาศซึ่งอุปกรณ์เหล่านี้รองรับการเชื่อมต่อผ่านแอปพลิเคชันเพื่อควบคุมการทำงาน
หรือเครื่องปรับอากาศสมัยใหม่ที่สามารถเชื่อมต่อและสั่งการผ่านอินเทอร์เน็ต
รวมไปถึงการตั้งเวลาการทำงานล่วงหน้าต่าง ๆ ของระบบส่องสว่างภายในอาคาร
หรือจะเป็นหุ่นยนต์ดูดฝุ่นที่มีให้เห็นกันตั้งแต่ราคาหลักพันต้น ๆ
ไปจนถึงหลักหลายหมื่น ล้วนแต่เป็นการใช้งานระบบอัตโนมัติที่ใกล้ตัวและเกิดขึ้นแล้วในชีวิตประจำวัน
ถ้าสังเกตให้ดีจะพบว่าอุปกรณ์ที่ใช้งานกันอยู่ในปัจจุบันนั้นเป็นการเพิ่มเติมฟังก์ชันการควบคุมผ่านแพลตฟอร์มอนไลน์
การตั้งค่าการทำงานล่วงหน้า เป็นการใช้ประโยชน์จาก IoT ที่ประยุกต์เข้าไปในผลิตภัณฑ์เดิม ๆ
แต่สามารถสร้างความแตกต่างได้อย่างใหญ่หลวงเมื่อมองไปยังภาพใหญ่ที่รวมศักยภาพของทุกอุปกรณ์เข้าด้วยกัน
แตกต่างจาก Robosta Cafe’ ซึ่งเป็นการประยุกต์ใช้งานผลิตภัณฑ์จากกลุ่มสินค้าอุตสาหกรรมไม่ว่าจะเป็นแขนกล
ระบบสายพาน ฐานยกแบบไฮดรอลิกต่าง ๆ ซึ่งไม่ใช่อุปกรณ์ที่พบเจอได้ในชีวิตประจำวันของคนส่วนใหญ่
ความแตกต่างสำคัญสำหรับอุปกรณ์ที่ใช้ในบ้านและอุปกรณ์ในโรงงานอุตสาหกรรม คือ
ศักยภาพและความซับซ้อนในการใช้งาน
เนื่องจากการใช้งานภายในสภาพแวดล้อมโรงงานที่มีความเสี่ยงสูง
อุปกรณ์จึงต้องมีความทนทานอย่างมาก และการทำงานต่าง ๆ ล้วนต้องการความแม่นยำสูง
เพื่อลดความสูญเปล่าในการทำงาน ตลอดจนความสำคัญด้านความปลอดภัย
ในขณะที่อุปกรณ์อัตโนมัติที่ใช้ในชีวิตประจำวันหรือที่อยู่อาศัยนั้นเน้นความสะดวกสบายเป็นหลักและไม่ต้องการความแม่นยำในระดับที่เทียบเท่าการทำงานในโรงงานซึ่งมีความเสี่ยงสูงกว่ามาก
สำหรับการนำระบบอัตโนมัติมาใช้ในธุรกิจเชิงพาณิชย์ต่าง
ๆ
อาจเรียกได้ว่าเป็นการพบกันครึ่งทางระหว่างการอำนวยความสะดวกแบบการใช้งานในครัวเรือนกับการลดความสูญเปล่าอันเข้มข้นในกิจการอุตสาหกรรม
ซึ่งการดึงเอาคุณสมบัติสำคัญในการทำงานออกมาจำเป็นต้องได้รับการออกแบบและบูรณาการระบบอย่างใกล้ชิด
นับเป็นขั้นตอนที่มีความละเอียดอ่อนสูงกว่าการใช้งานในครัวเรือนอย่างมาก SI
จึงต้องรับหน้าที่การออกแบบระบบที่รองรับการใช้งานจากผู้คนจำนวนมากอย่างต่อเนื่อง
ตั้งแต่ประสบการณ์การใช้งานไปจนถึงความสม่ำเสมอของระบบ ทำให้ตลาดด้านการบริการเชิงพาณิชย์สำหรับประชากรกลุ่มใหญ่เป็นอีกหนึ่งตลาดที่เหล่า
SI สามารถเข้ามามีบทบาทและมีส่วนร่วมได้
สำหรับเทคโนโลยีอัตโนมัติที่กำลังเกิดขึ้นหรือเปิดใช้งานในบางพื้นที่กลายเป็นโอกาสใหม่
เช่น การขับขี่อัตโนมัติที่ค่ายรถดังอย่าง Tesla นำมาใช้
หรือเทคโนโลยี AI สนับสนุนสำหรับการผ่าตัด
ระบบเหล่านี้ยังคงเป็นโอกาสใหม่ที่มีผู้คนเข้าถึงได้น้อย
เมื่อผนวกรวมกับความต้องการจำเพาะเจาะจงของสิ่งแวดล้อมและชาติพันธุ์ในพื้นที่ต่าง
ๆ
การพัฒนาระบบอัตโนมัติที่มีความสอดคล้องกับท้องถิ่นหรือพื้นที่การใช้งานกลายเป็นจุดแข็งสำหรับ
SI ในพื้นที่มากกว่าการนำเข้าระบบจากต่างประเทศ
ยกตัวอย่างเช่น
การทำระบบอัตโนมัติสำหรับการขับขี่ในประเทศอินเดียที่มีลักษณะการจราจรที่วุ่นวายและคับคั่ง
หรือการใช้หุ่นยนต์ปรุงอาหารในประเทศกลุ่มตะวันออกที่มีลักษณะแตกต่างจากการบูรณาการระบบสำหรับอาหาร
Fast Food ในสหรัฐอเมริกา
การใช้ระบบอัตโนมัติที่มีความละเอียดอ่อนสูงหลายคนอาจมองว่าเป็นเรื่องไกลตัวและเป็นไปไม่ได้
แต่ในความเป็นจริงแล้วอาจเป็นเพียงขนาดตลาดยังไม่ใหญ่พอเท่านั้น
ยกตัวอย่างช่วงเวลาที่รถยนต์คันแรกถือกำเนิดขึ้นท่ามกลางยุคขี่ม้าลากเกวียนที่ใครต่อใครอาจมองว่าเป็นไปไม่ได้และไม่มีความจำเป็น
แต่ในท้ายที่สุดประชากรส่วนมากก็พร้อมที่จะมีโรงรถมากกว่าคอกม้าในแต่ละบ้าน
การบูรณาการระบบอัตโนมัติสำหรับ Lifestyle ก็ไม่แตกต่างกัน
แต่อาจเป็นเรื่องที่ง่ายดายกว่าเนื่องจากเป็นการใช้งานเทคโนโลยีอยู่แล้วให้เกิดความเหมาะสมและคุ้มค่ากับเม็ดเงินลงทุน
แตกต่างจากการสร้างสิ่งใหม่หรือสิ่งที่ไม่เคยมีมาก่อนที่มีความยากลำบากมากกว่า
สิ่งที่แตกต่างออกไปจากการบูรณาการระบบเพื่อรองรับผู้คน
คือ ความสะดวกสบายและการเชื่อมต่อกับประสบการณ์เดิมที่มีอยู่ เช่น
การออกแบบให้รองรับการทำงานร่วมกับสมาร์ทโฟนจากสองค่ายใหญ่อย่าง Apple
และ Android หรือ
ระบบการจ่ายเงินแบบอิเล็กทรอนิกส์ที่มาพร้อมกับระบบ Royalty อาทิ
แต้มสะสมเป็นต้น
การมองไปยังผู้คนและประสบการณ์การใช้งานภายใต้แนวคิดด้านการตลาดที่ชัดเจนจึงเป็นส่วนสำคัญสำหรับบทบาท
SI ในโอกาสใหม่นี้
ในกรณีของ Robosta
Cafe’ เป็นตัวอย่างที่เห็นได้ชัดจากการทำงานของ SI ที่สามารถสร้างโมเดลธุรกิจที่สามารถใช้งานได้จริง
มีแนวทางที่ชัดเจนตั้งแต่การพัฒนา
การต่อยอดไปจนถึงธุรกิจในอนาคตที่พร้อมจะปรับเปลี่ยนตามความต้องการของตลาด
มั่นใจได้ว่านี่คือคลื่นลูกใหม่ที่จะสร้างความเปลี่ยนแปลงให้กับตลาดของ SI ที่ต้องจับตามอง
ภายใต้ภาวะความไม่แน่นอนของมนุษย์ที่เพิ่มมากขึ้นอ่างต่อเนื่อง
ตั้งแต่ความไม่คงที่ในการทำงาน การขาดแคลนแรงงาน การขาดแคลนทักษะ อุบัติเหตุ
ไปจนถึงการปนเปื้อนและติดเชื้อไวรัส
ทำให้บทบาทของระบบอัตโนมัติชัดเจนยิ่งขึ้นในปัจจุบัน
ความต้องการอุปกรณ์หรือเครื่องมือที่มีความแน่นอนในการทำงานกลายเป็นสิ่งที่นักลงทุนและเจ้าของกิจการต่างให้ความสนใจ
การที่ SI
ก้าวออกมาพัฒนาเทคโนโลยีที่สนับสนุนภาคธุรกิจเชิงพาณิงชย์ที่เข้าถึงได้อย่าง
เช่น Robosta Cafe’ หรือ Lifestyle Automation จึงเป็นจุดเปลี่ยนที่กำลังเกิดขึ้น และผู้ที่สามารถทำให้ตลาดที่กำลังรอคอยศักยภาพเหล่านี้อยู่เกิดการยอมรับได้จะกลายเป็นผู้นำของการเปลี่ยนแปลงได้ในทันที
ที่มา https://www.mmthailand.com/
วันที่ 5 ก.ค. 2565