เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว
สำนักข่าวบลูมเบิร์กลงข่าว “สหรัฐฯ จ่อจำกัดการส่งออกชิป AI
มายังไทยและมาเลเซีย หวั่นลักลอบส่งต่อไปยังจีน” ทั้งนี้
ในเนื้อข่าว ระบุว่า รัฐบาลประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์
วางแผนควบคุมการส่งออกชิปปัญญาประดิษฐ์ (AI) จากบริษัทอย่าง Nvidia
Corp. ไปยังประเทศมาเลเซีย และไทย
ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของความพยายามในการปราบปรามการลักลอบนำเข้าเซมิคอนดักเตอร์ที่น่าสงสัยไปยังประเทศจีน
แหล่งข่าว
เปิดเผยว่า ทางกระทรวงพาณิชย์สหรัฐ ร่างข้อบังคับควบคุมที่มีเป้าหมาย
เพื่อป้องกันไม่ให้จีนได้รับส่วนประกอบของชิป AI เหล่านั้น
โดยจะกำหนดให้การขายชิป AI ไปยังมาเลเซียและไทย
ต้องได้รับการอนุมัติจากสหรัฐมาตรการนี้ถือเป็นความเคลื่อนไหวอย่างเป็นทางการครั้งแรกของประธานาธิบดีทรัมป์
ในการปรับเปลี่ยนนโยบายด้าน AI จากรัฐบาลชุดก่อนหน้า
และจะแทนที่กฎเดิม
แต่ทั้งนี้
ข้อจำกัดการส่งออก
อาจมีมาตรการหลายอย่างเพื่อลดแรงกดดันต่อบริษัทที่มีการดำเนินธุรกิจที่สำคัญในสองประเทศนี้
รวมถึงการอนุญาตให้ผู้ให้บริการศูนย์ข้อมูลสัญชาติอเมริกันได้รับการอนุมัติสามารถซื้อชิป
AI
เข้าไปใช้งานได้ แต่อย่างไรก็ตาม
ร่างข้อบังคับดังกล่าวยังอยู่ในขั้นตอนการพิจารณาและอาจมีการเปลี่ยนแปลงได้
ความขัดแย้งด้านเซมิคอนดักเตอร์ระหว่างสหรัฐฯ
และจีน เริ่มมาตั้งแต่สมัยประธานาธิบดีไบเดน
โดยสหรัฐได้ใช้มาตรการควบคุมการส่งออกที่ครอบคลุม และซับซ้อนมากขึ้น
เพื่อจำกัดขีดความสามารถของจีนในการพัฒนา AI การพัฒนาซูเปอร์คอมพิวเตอร์
และการผลิตชิปขั้นสูงสำหรับวัตถุประสงค์ทางทหาร มาตรการเหล่านี้
เริ่มต้นตั้งแต่เดือนตุลาคม 2022 และขยายขอบเขตอย่างมีนัยสำคัญในปี 2023
โดยเพิ่มการครอบคลุมถึงกิจกรรมของบุคคลสัญชาติสหรัฐ
ที่เกี่ยวกับการพัฒนาหรือการผลิตชิปขั้นสูงที่โรงงานในจีน
และขยายขอบเขตทางภูมิศาสตร์ไปยังประเทศอื่นๆ
เพื่อสกัดกั้นความพยายามในการหลีกเลี่ยงการส่งต่อชิปผ่านประเทศที่สาม
ล่าสุดมาตรการเดือนมกราคม
และ พฤษภาคม 2025 สหรัฐเพิ่มการกำหนดบทลงโทษสำหรับการใช้ชิป AI
ของบริษัทสหรัฐในการฝึกอบรมโมเดล AI ของจีน
รวมถึงห้ามใช้งานชิป Huawei Ascend ของจีน “ที่ใดก็ได้ในโลก”
ทั้งนี้ รายงานล่าสุดในเดือนกรกฎาคม 2025
เกี่ยวกับไทยและมาเลเซียเป็นการระบุอย่างชัดเจนถึงเป้าหมายในการป้องกัน
“การส่งต่อ” และ “การลักลอบนำเข้า” ชิปไปยังจีน
พร้อมกำหนดเงื่อนไขในการใช้งานชิปสหรัฐฯ สำหรับประเทศพันธมิตร
การเปลี่ยนแปลงนี้บ่งชี้ว่า
กลยุทธ์ของสหรัฐกำลังครอบคลุมมากขึ้น และไม่จำกัดอยู่เพียงแค่ภูมิศาสตร์อีกต่อไป
ซึ่งเป็นการเพิ่มภาระการปฏิบัติตามกฎระเบียบสำหรับผู้เล่นทั่วโลก
รวมถึงในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ สิ่งนี้แสดงให้เห็นถึงแนวทางการควบคุมแบบ
“เต็มรูปแบบ” ไม่เพียงแต่ปัจจัยการผลิต แต่ยังรวมถึงการประยุกต์ใช้ AI
ในขั้นปลายน้ำ และขยายขอบเขตการบังคับใช้กฎระเบียบของสหรัฐฯ
ไปทั่วโลก
หากประเทศไทยถูกเพิ่มในบัญชีควบคุมการส่งออกชิปขั้นสูงของสหรัฐ
จะส่งผลกระทบโดยตรงและมีนัยสำคัญต่อระบบนิเวศ AI ของประเทศในประเด็นต่างๆ
ดังนี้
การเข้าถึงชิป
AI
ประสิทธิภาพสูง การเข้าถึงชิป AI เช่น Nvidia
H100 หรือ AMD MI300X จะถูกจำกัดอย่างมาก
ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อศูนย์ข้อมูลขนาดใหญ่ ผู้ให้บริการคลาวด์
และสถาบันวิจัยที่ต้องการพลังการประมวลผลระดับสูงสำหรับการฝึกอบรมโมเดล AI ขนาดใหญ่และการประมวลผลที่ซับซ้อน
ต้นทุนและระยะเวลาการสั่งซื้อ
การจำกัดการเข้าถึงทำให้ต้นทุนฮาร์ดแวร์ AI ขั้นสูงเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ
และระยะเวลาสั่งซื้อสินค้ายาวนานขึ้น เนื่องจากความต้องการเพิ่มและอุปทานที่จำกัด
ต้องผ่านขั้นตอนการตรวจสอบที่เข้มงวดขึ้น
ขีดความสามารถแข่งขันด้านวิจัยและพัฒนา
การจำกัดการเข้าถึงชิป AI สำหรับการประมวลผล
เป็นการลดขีดความสามารถแข่งขันด้านวิจัยและพัฒนา AI ของไทย
เนื่องจากนักวิจัยและนักพัฒนาจะไม่สามารถเข้าถึงทรัพยากรคอมพิวเตอร์ที่จำเป็นสำหรับการทดลอง
และสร้างสรรค์นวัตกรรม AI ที่ทันสมัยได้
ภาระการปฏิบัติตามกฎระเบียบ
ผู้ให้บริการคลาวด์ และบริษัทอื่นๆ
ที่ดำเนินงานในไทยต้องเผชิญภาระการปฏิบัติตามกฎระเบียบที่เข้มงวดขึ้น เช่น
ข้อกำหนดตรวจสอบผู้ใช้ปลายทาง
เพื่อให้มั่นใจว่าชิปถูกนำไปใช้ในสถานที่ที่ได้รับอนุมัติเท่านั้น
ความเสี่ยงจากการเป็น
"จุดส่งต่อ" ประเทศไทยอาจถูกมองว่าเป็น “จุดส่งต่อ” สำหรับลักลอบนำชิป AI
ไปยังจีน ซึ่งอาจนำไปสู่การตรวจสอบที่เข้มงวดขึ้น
และมาตรการควบคุมเพิ่มเติมจากสหรัฐ นอกเหนือผลกระทบโดยตรงแล้ว
การถูกเพิ่มในบัญชีควบคุมชิปขั้นสูง
ยังนำมาซึ่งผลกระทบทางอ้อมและความท้าทายเชิงกลยุทธ์ที่สำคัญ
การหยุดชะงักของห่วงโซ่อุปทาน
อาจเกิดการหยุดชะงักของห่วงโซ่อุปทาน
และความสัมพันธ์ธุรกิจที่มีอยู่กับบริษัทเทคโนโลยีของสหรัฐและพันธมิตร
อาจส่งผลกระทบต่อการขยายตัวของศูนย์ข้อมูลและการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน AI
ความจำเป็นในการจัดหาแหล่งซื้อฮาร์ดแวร์เพิ่มเติม
ประเทศไทยต้องพิจารณากลยุทธ์การกระจายแหล่งจัดหาฮาร์ดแวร์ AI
ซึ่งอาจรวมถึงการสำรวจทางเลือกจากผู้ผลิตจีน (เช่น Huawei
Ascend, Biren, Moore Threads) หรือผู้ผลิตจากประเทศอื่นๆ
อย่างไรก็ตาม
การทำเช่นนี้อาจนำไปสู่ความท้าทายด้านความเข้ากันได้กับระบบนิเวศซอฟต์แวร์ตะวันตกที่มีอยู่
(เช่น CUDA เทียบกับ MindSpore) ซึ่งอาจต้องใช้เวลาและการลงทุนในการปรับตัว
การพัฒนาขีดความสามารถภายในประเทศ
จะมีความกดดันเพิ่มขึ้นในการพัฒนาบุคลากรด้านออกแบบชิปและการผลิตภายในประเทศ
แม้ว่านี่จะเป็นความพยายามระยะยาวที่ต้องใช้เงินลงทุนสูง
การจัดการความสัมพันธ์ทางภูมิรัฐศาสตร์
ประเทศไทยต้องรักษาสมดุลความสัมพันธ์กับทั้งสหรัฐ และจีน
ซึ่งเป็นความท้าทายที่ซับซ้อนในบริบทความขัดแย้งทางเทคโนโลยีที่ทวีความรุนแรงขึ้น
จะเห็นได้ชัดเจนว่า
หากสหรัฐดำเนินมาตรการจำกัดการส่งออกชิป AI ต่อไทย
จะกระทบอย่างรุนแรงต่อความสามารถแข่งขันทางเทคโนโลยีของประเทศ
ทั้งระยะสั้นและระยะยาว
ประเทศไทยจึงควรเตรียมแผนรองรับและกลยุทธ์ทางเลือกเพื่อลดผลกระทบที่อาจเกิดขึ้น
พร้อมทั้งสร้างความสัมพันธ์ที่สมดุลกับประเทศมหาอำนาจทั้งสองฝ่าย
ที่มา
:
กรุงเทพธุรกิจ
วันที่
14 ก.ค. 2568