Smart Factory หรือที่เรียกว่า โรงงานอัจฉริยะ คือการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีดิจิทัลเข้าร่วมกับการทำงานในโรงงาน โดยนำเทคโนโลยีอย่าง หุ่นยนต์ (Robotics), ระบบอัตโนมัติ, Internet of Things (IoT), และ Artificial Intelligence (AI) เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานทั้งหมดให้ก้าวหน้ายิ่งขึ้น โดยที่อยู่ภายใต้งบประมาณที่เหมาะสมของโรงงานนั้น ๆ
สิ่งที่ต้องรู้ก่อนทำโรงงานอัจฉริยะมีอะไรบ้าง
ส่วนสำคัญของการนำเทคโนโลยีมาประยุกต์ใช้คือ
การทำงานที่มีประสิทธิผลสูงซึ่งจะช่วยเพิ่มปริมาณการผลิตในขณะเดียวกัน
ลดเวลาการหยุดทำงานและต้นทุนลง
ปัจจัยสำคัญของความสำเร็จนี้คือการนำหุ่นยนต์ประสิทธิภาพสูงและอุปกรณ์อัจฉริยะมาใช้
รวมถึงเซ็นเซอร์และอุปกรณ์สื่อสารเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตจำนวนมาก
ดังนั้นการเปลี่ยนแปลงทางดิจิทัลอย่างสมบูรณ์
โดยปรับปรุงการผลิตให้เหมาะสมที่สุดและสร้างโรงงานอัจฉริยะแบบบูรณาการที่ตอบสนองความต้องการที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วได้ดีขึ้น
การขับเคลื่อนด้วยข้อมูล คือ การแลกเปลี่ยนข้อมูล/Data ระหว่างผลิตภัณฑ์ (Products) และสายการผลิต (Production
Line) ข้อมูลดิจิทัลที่รวบรวมจากอุปกรณ์เหล่านี้มีประโยชน์อย่างมากในการติดตามประสิทธิภาพโดยรวมของอุปกรณ์
(OEE) รักษาประสิทธิภาพของกระบวนการและตรวจสอบคุณภาพผลิตภัณฑ์ได้
โดยการขับเคลื่อนด้วยข้อมูลนี้จำเป็นต้องใช้ แพลตฟอร์ม OPC-UA ที่มีประสิทธิภาพอย่างยิ่ง เช่น Yaskawa Cockpit™ ช่วยให้สามารถรวบรวมข้อมูล
ตามแนวทาง i3-Mechatronics
i3-Mechatronics คืออะไร
ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา คำว่า ‘IoT’
หรือ ‘Industrie 4.0’ ถูกใช้ในความหมายกว้างๆ
เนื่องมาจากความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีที่เห็นได้กับสิ่งต่างๆ มากมายเช่น รถยนต์,
โรงงาน, และเครื่องใช้ในบ้าน
ต่างก็เชื่อมต่อกันด้วยระบบดิจิทัล YASKAWA จึงพัฒนาแนวคิด i3-Mechatronics เพื่อตอบสนอง Industrie 4.0 และ เพิ่มศักยภาพของแมคคาทรอนิกส์และหุ่นยนต์ โดยดำเนินการ 3
ขั้นตอนหรือเรียกว่า 3 i คือ
1. Integrated
การผสมผสาน Device ต่างๆ เช่น Robot,
Sensor, Servo, Inverter และ Software มาประกอบเข้าด้วยกันเป็น
ไลน์การผลิตแบบออโตเมชั่น
2. Intelligence เพิ่มความชาญฉลาดด้วยการรวบรวมและแสดงข้อมูลแบบ
Real-Time ด้วยการซิงโคไนซ์
อุปกรณ์และซอฟแวร์เพื่อเก็บข้อมูลอุปกรณ์และกระบวนการผลิต
3. Innovative
การสร้างสรรค์ด้วยนวัตกรรม ด้วยการนำข้อมูลดิจิทัลเหล่านี้
มาวิเคราะห์และจัดการการทำงานของอุปกรณ์ด้วยข้อมูลกระบวนการ, สถานะการผลิต เพื่อสร้างโรงงานอัจฉริยะ และทำให้ผู้ควบคุมการผลิต
สามารถดูข้อมูลเชิงลึกและสิ่งที่เกิดขึ้นในสายการผลิตสร้างประสิทธิภาพและเพิ่มมูลค้าของการผลิตได้
i3-Mechatronics นอกเหนือจากการทำให้ ‘Cells’ ทำงานเป็นระบบอัตโนมัติแล้ว ยังต้องจัดการ Cells ด้วยข้อมูลดิจิทัล เพื่อตรวจสอบสถานะการทำงานของอุปกรณ์และสถานะการผลิตด้วยข้อมูลสถานะในรูปแบบ ‘ค่าตัวเลข’ เพื่อลดข้อผิดพลาดและลดการหยุดการทำงานของกระบวนการผลิต
ประโยชน์ของ i3–Mechatronics แบ่งออกเป็น 3 ส่วนหลักๆ
· การผลิต
(Production):
การผลิตแบบยืดหยุ่นทำให้ผลิตสินค้าได้หลากหลายและปริมาณที่ปรับเปลี่ยนได้
·
คุณภาพ (Quality):
การปรับปรุงความแม่นยำของการวิเคราะห์สาเหตุของ Defect
· การซ่อมบำรุง (Maintenance): การวินิจฉัยเชิงคาดการณ์ของอุปกรณ์ที่อาจเกิดความเสียหาย (Predictive Failure Diagnosis of Equipment)
YASKAWA
ได้นำแนวคิด i3-Mechatronics มาดำเนินการจริงกับโรงงานผลิตเซอร์โวมอเตอร์ที่ประเทศญี่ปุ่น
ซึ่งสามารถผลิตได้ทั้งแบบสายการผลิตเดียวและผลิตสินค้าหลากหลายโดยสามารถปรับการผลิตแบบปริมาณผันแปร
ทำให้ผลิตจำนวนขั้นต่ำตั้งแต่ 1 ชิ้นขึ้นไปกับหลากหลายรายการสินค้าได้
ในโรงงานเราใช้เซอร์โวมอเตอร์และหุ่นยนต์อุตสาหกรรมมาประกอบเข้าด้วยกันเป็นไลน์การผลิต
รวมถึงการวางแผนงานของการผลิต
รวบรวมและวิเคราะห์ข้อมูลเกี่ยวกับสถานะการทำงานของโรงงานผลิตโดย
‘แสดงเป็นข้อมูลภาพ (Visualizing)’ ผ่าน Yaskawa
Cockpit ซึ่งจะควบคุมผ่านศูนย์ควบคุม ตัวอย่างเช่น
หากแกนของมอเตอร์ที่ผลิตไม่หมุนหรือหมุนไม่ราบรื่น
สามารถตรวจสอบสาเหตุของความผิดปกติโดยการวิเคราะห์สาเหตุ เช่น สาเหตุของ
‘กระบวนการผลิต’, ‘การออกแบบผลิตภัณฑ์’ หรือ
‘ชิ้นส่วนที่จัดหาจากภายนอกบริษัท’ โดยเปรียบเทียบค่าปกติของข้อมูลกับค่าที่เกิดข้อผิดพลาด
และการวิเคราะห์สาเหตุที่แท้จริงของข้อบกพร่องตามการรวบรวมข้อมูลโดยละเอียดในแต่ละไซต์
อีกหนึ่งความกังวลของโรงงานและไลน์การผลิตคือการหยุดไลน์การผลิตอย่างกะทันหันซึ่งเกิดจากการเสียหายของอุปกรณ์
หรือจากการสึกหรอของอุปกรณ์
ซึ่งสภาพการใช้งานและสภาพการสึกหรอของอุปกรณ์เหล่านี้สามารถคาดการณ์ได้จากข้อมูลการทำงาน
และสามารถประมาณเวลาที่จะเกิดการเสื่อมของอุปกรณ์
ทำให้สามารถดำเนินการวางแผนเปลี่ยนล่วงหน้าได้และการผลิตโดยไม่ส่งผลกระทบการผลิตได้
นอกจากนี้ AC ไดรฟ์ ของ YASKAWA อย่างรุ่น GA500 และ GA700
ยังสามารถรวบรวมข้อมูลต่างๆ เช่น ความถี่ ความเร็วในการหมุน การใช้พลังงาน
ค่าแรงบิด อุณหภูมิ และแรงดันไฟฟ้าเมื่อมอเตอร์ทำงาน
และสามารถดำเนินการบำรุงรักษาล่วงหน้าได้โดยการตรวจจับความผิดปกติของอุปกรณ์ เช่น
สายพานขาด ลูกปืนเสื่อมสภาพ ในทางกลับกัน เซอร์โวมอเตอร์ ของ YASKAWA สามารถตรวจสอบข้อมูลการตรวจจับ เช่น การสั่นสะเทือน การรบกวน
การวางตำแหน่ง คุณภาพการสื่อสาร และอุณหภูมิ เพื่อตรวจจับข้อมูลแบบเรียลไทม์ เช่น
อุปกรณ์เสื่อมสภาพหรือการเปลี่ยนแปลงในสภาพแวดล้อมการทำงาน
YASKAWA ได้แบ่งผลิตภัณฑ์ออกเป็น 3
กลุ่มหลักเพื่อส่งเสริม Smart Factory
1. Industrial Robot หุ่นยนต์อุตสาหกรรม YASKAWA พัฒนาและปรับปรุงเซอร์โวมอเตอร์ซึ่งเป็นส่วนประกอบหลักของหุ่นยนต์อุตสาหกรรม
MOTOMAN ด้วยตัวเราเอง
นอกเหนือจากเทคโนโลยีซอฟต์แวร์ควบคุมที่เพิ่มขีดความสามารถนี้ให้สูงสุดแล้ว
เรายังพัฒนาหุ่นยนต์อุตสาหกรรมโดยผสานรวมเทคโนโลยีการใช้งานที่ทำให้โครงสร้างและฟังก์ชันของหุ่นยนต์เหมาะสมที่สุดสำหรับการใช้งานเชื่อม
(Arc Welding and spot welding Robot),งานหยิบจับ, แพคกิ้ง และ ลำเรียงสิ่งของ (Handling / Assembly / Picking /
Packing / Palletizing Robot), งานพ่นสี (Painting Robot) หุ่นยนต์ของ YASKAWA สามารถตรวจสอบข้อมูลดิจิทัล 100
ประเภท
รวมถึงค่าการสั่นสะเทือนและแรงบิดที่ปล่อยออกมาจากเซอร์โวมอเตอร์ที่ติดตั้งในข้อต่อของหุ่นยนต์อุตสาหกรรม
ช่วยให้เราตรวจสอบการเคลื่อนไหวปัจจุบันของหุ่นยนต์ ตรวจสอบแนวโน้มของสัญญาณเตือน
และตรวจสอบสาเหตุของความล้มเหลวด้วยข้อมูลการทำงาน
2. Servo Motors เซอร์โวมอเตอร์รองรับระบบอัตโนมัติในการผลิตทั่วโลก
หากคุณมองเข้าไปในสมาร์ทโฟน แท็บเล็ต คอมพิวเตอร์ และเครื่องใช้ในบ้านทั่วไป
คุณจะเห็นว่าอุปกรณ์เหล่านี้ประกอบด้วยส่วนประกอบที่แตกต่างกันหลายร้อยชิ้น
รวมถึงส่วนประกอบอิเล็กทรอนิกส์ ชิปเซมิคอนดักเตอร์ แบตเตอรี่ และกล้อง เป็นต้น
เมื่อทำการผลิตสิ่งเหล่านี้ บริษัทต่างๆ จะพยายามทำให้เป็นระบบอัตโนมัติโดยติดตั้งหุ่นยนต์อุตสาหกรรม,
เครื่องมือและเครื่องจักรเพื่อรักษาคุณภาพสูงในขณะที่เพิ่มประสิทธิภาพการผลิต
เซอร์โวมอเตอร์สามารถสร้างข้อมูล ความเร็ว อุณหภูมิ ค่าแรงบิด เวลา แรงดัน
และกระบวนการทำงานของหุ่นยนต์อุตสาหกรรมในแต่ละกระบวนการ และตรวจสอบสถานะของอุปกรณ์ได้
ข้อมูลเหล่านี้จะกลายเป็นข้อมูลขนาดใหญ่ของ IoT ในไซต์การผลิต
จะทำให้เข้าใจสถานะการทำงานและระบุปัจจัยในเวลาที่เกิดความผิดปกติได้ง่ายขึ้น ตัว Controller
MP 3000 ของ YASKAWA มาพร้อมกับฟังก์ชันบันทึกข้อมูลที่สามารถบันทึกข้อมูลชุดเวลาได้
ทำให้สามารถประทับเวลาได้เป็นไมโครวินาที (1/1 ล้านวินาที) นอกจากนี้
ยังสามารถระบุได้ว่ามอเตอร์ของอุปกรณ์ใดหยุดทำงานเนื่องจากความผิดปกติเมื่อสายการผลิตหยุดทำงานโดยไม่คาดคิด
โดยปรับฐานเวลาของอุปกรณ์แต่ละตัว
3.
AC
Drives คุณอาจไม่ได้ยินคำว่า ‘AC ไดรฟ์
(หรือที่เรียกว่าอินเวอร์เตอร์)’ บ่อยนัก แต่ในความเป็นจริงแล้ว
มันเป็นผลิตภัณฑ์ที่ขาดไม่ได้ที่รองรับชีวิตประจำวันของเรา
มันถูกนำไปใช้กันอย่างแพร่หลายในเครื่องใช้ในครัวเรือน เช่น
เครื่องปรับอากาศและตู้เย็น รวมถึงในโครงสร้างพื้นฐานทางสังคม เช่น ลิฟต์ บันไดเลื่อน
รถไฟ เครน พัดลม และปั๊ม รวมถึงในโรงงานที่ผลิตเครื่องจักรการพิมพ์
เครื่องจักรสิ่งทอ เครื่องจักรยาง และวัสดุอื่นๆ หากพูดอย่างง่าย ๆ AC ไดรฟ์ หรืออินเวอร์เตอร์คืออุปกรณ์ที่ควบคุมความเร็วในการหมุนของมอเตอร์
เนื่องจากมอเตอร์ได้รับการควบคุมตามความจำเป็นเพื่อไม่ให้หมุนเกินความจำเป็น
การใช้พลังงานจึงต่ำกว่ามากเมื่อเทียบกับการใช้มอเตอร์เพียงอย่างเดียวในการทำงานอุปกรณ์
ส่งผลให้ประหยัดพลังงานและลด CO₂ สนับสนุนในการเพิ่มผลผลิตและประหยัดพลังงานในโรงงาน
AC
Drives (อินเวอร์เตอร์) รุ่น GA700, GA500ของ YASKAWA ตรวจจับการทำงานที่ผิดปกติในไดรฟ์
(อินเวอร์เตอร์) รวมถึงเครื่องจักรและอุปกรณ์
และแจ้งให้ผู้ใช้ทราบก่อนที่จะเกิดความเสียหาย
ช่วยให้ผู้ใช้วางแผนการบำรุงรักษาที่มีประสิทธิภาพเพื่อปรับปรุงประสิทธิภาพการทำงานและทำให้เครื่องจักรและอุปกรณ์ทำงานอย่างต่อเนื่องได้
และยังแจ้งเกี่ยวกับชิ้นส่วนที่เสื่อมสภาพและการทำงานที่ผิดปกติในเครื่องจักรและอุปกรณ์
ซึ่งขั้นตอนการทำงานของโรงงานอัจฉริยะ
1. การกำหนดเป้าหมายการดำเนินงาน:
การมีเป้าหมายขององค์กรที่ชัดเจน จะช่วยให้เข้าใจ ‘เหตุผล’ ในการดำเนินงาน เช่น
มาตรฐานคุณภาพ, เป้าหมายระยะยาวและระยะสั้น
รวมถึงเป้าหมายการทำงาน cycle time ต่อนาที/วัน/ชั่วโมง
2.
การวางแผนงานเพื่อความสำเร็จ:
กำหนดวิธีการบรรลุเกณฑ์มาตรฐานแต่ละเกณฑ์ เช่น
“ฉันต้องรวบรวมข้อมูลใดเพื่อปรับปรุงปัญหา” และ
“ฉันควรใช้กระบวนการใดในการรวบรวมและวิเคราะห์ข้อมูล”
3.
การดำเนินการ:
ปฏิบัติตามขั้นตอนที่กำหนด รวมถึงติดตามสิ่งที่ได้ผลและสิ่งที่ไม่ได้ผล
4.
การจัดการด้วยข้อมูล:
การรวบรวมข้อมูลเพื่อนำไปใช้วิเคราะห์ข้อมูลของระบบอัตโนมัติด้วยหุ่นยนต์และกระบวนการผลิต
5.
การบำรุงรักษาเชิงป้องกัน
การตรวจสอบสภาพของอุปกรณ์และหุ่นยนต์ ตัวอย่างเช่น
การใช้ข้อมูลสร้างขึ้นเพื่อวัดแรงบิดของมอเตอร์
เพื่อให้เห็นถึงความไม่สม่ำเสมอในการเคลื่อนไหวของหุ่นยนต์
มีประโยชน์อย่างยิ่งต่อประสิทธิภาพของหุ่นยนต์และป้องกันเวลาหยุดทำงานที่ไม่จำเป็น
6. การบำรุงรักษาเชิงคาดการณ์
การใช้ข้อมูลที่ได้รับจากอุปกรณ์แต่ละเครื่องหรือจากแพลตฟอร์มซอฟต์แวร์อย่าง Yaskawa
Cockpit ที่สามารถตรวจสอบ รวบรวม
และส่งมอบข้อมูลแบบเรียลไทม์ได้อย่างง่ายดาย
Smart Factory มีข้อได้เปรียบมากกว่าโรงงานทั่วไปในเรื่องใช้ต้นทุนที่น้อยกว่า เพิ่มกำไรอย่างยั่งยืนมากกว่า ใช้จำนวนกำลังคนน้อยลง ในขณะที่สามารถมีกำลังผลิตเท่าเดิมหรือเพิ่มมากกว่าเดิมได้ ตอบโจทย์อุตสาหกรรมในยุคปัจจุบัน สามารถเริ่มต้นด้วยการเปลี่ยนบางส่วนของโรงงานก่อนแทนที่จะเปลี่ยนทั้งหมด เพื่อลดต้นทุนค่าใช้จ่าย
ที่มา MMThailand
วันที่ 13 ม.ค. 2568