ช่วงปีที่ผ่านมา
แนวคิด "Sovereign AI" หรือความมีอิสระในการสร้างและควบคุม
AI ได้ด้วยตนเอง ได้พัฒนาจากแนวคิดที่เป็นแรงบันดาลใจ
ไปเป็นความสำคัญเชิงยุทธศาสตร์ของภาครัฐและองค์กรธุรกิจต่างๆ
วินเซนต์
คัลเดรา ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายเทคโนโลยี ประจำภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก Red
Hat เปิดมุมมองว่า องค์กรต่างๆ กำลังแสวงหาวิธีการสร้างระบบ AI
ที่สะท้อนถึงคุณค่าขององค์กร ตอบโจทย์ด้านการปกป้องข้อมูล
และตอบสนองวัตถุประสงค์ทางธุรกิจหรือทางสังคมที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะของตน
การที่
AI
กลายมาเป็นสิ่งที่ฝังอยู่ในทุกสิ่งทุกอย่าง ตั้งแต่บริการสาธารณะ
ไปจนถึงโครงสร้างพื้นฐานทางเศรษฐกิจ ทำให้ความสามารถในการควบคุม สั่งการ
และกำหนดรูปแบบระบบต่างๆ เหล่านี้ กำลังกลายเป็นตัวสร้างความแตกต่างที่สำคัญ
วิถีทางนี้ไม่ใช่การโดดเดี่ยวตัวเองหรือมีนโยบายกีดกันหรือควบคุมทางดิจิทัล
แต่เป็นเรื่องเกี่ยวกับการสร้าง AI ที่เชื่อถือได้
มีประสิทธิภาพ และครอบคลุม ซึ่งหมายถึง AI ที่มีรากฐานมาจากภาษาท้องถิ่น
เป็นไปตามกรอบการกำกับดูแลและบรรทัดฐานทางวัฒนธรรมของท้องถิ่นนั้นๆ
แต่ยังคงสามารถเชื่อมต่อและได้รับประโยชน์จากระบบนิเวศทางนวัตกรรมจากทั่วโลก
ใครบ้างแสวงหา
‘Sovereign
AI’
สำหรับแนวโน้มสำคัญล่าสุดที่เป็นตัวกำหนดภูมิทัศน์
Sovereign
AI รวมถึงบทบาทที่เพิ่มขึ้นของโอเพ่นซอร์สที่เกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงดังกล่าวนี้ประกอบด้วย
ตั้งแต่ระดับประเทศไปถึงองค์กรธุรกิจ: ใครบ้างที่กำลังแสวงหา Sovereign
AI โดยแก่นแท้แล้ว Sovereign AI เป็นเรื่องเกี่ยวกับการมีอำนาจควบคุมข้อมูล
โครงสร้างพื้นฐาน การพัฒนาและการใช้เทคโนโลยี AI ซึ่งเป็นความต้องการที่เกิดขึ้นทั้งในภาครัฐและภาคเอกชน
ภาครัฐหลายแห่งกำลังมุ่งสู่การใช้
Sovereign
AI เพื่อให้มั่นใจได้ว่าการดำเนินงานด้าน AI จะเป็นไปตามกฎระเบียบของประเทศ
เช่น GDPR, EU AI Act รวมถึง PDPA ของไทย
และร่างกฎหมาย AI ที่กำลังดำเนินการอยู่
เพื่อลดความเสี่ยงด้านความมั่นคงของประเทศ
และเพื่อส่งเสริมความแข็งแกร่งทางวัฒนธรรมและภาษาในระบบ AI ต่างๆ
ดังนั้นภาครัฐต่างลงทุนด้าน
AI
ที่ตนไว้ใจและกำหนดรูปแบบได้เอง เพื่อตอบโจทย์เฉพาะของตน
ตั้งแต่ทำให้มั่นใจได้ว่าข้อมูลจะไม่ถูกนำออกนอกประเทศ ไปจนถึงการสร้าง AI ที่สะท้อนบรรทัดฐานทางสังคมและคุณค่าของความอิสระที่สามารถควบคุมได้ด้วยตนเอง
พบด้วยว่า
องค์กรต่างๆ โดยเฉพาะองค์กรที่อยู่ในอุตสาหกรรมที่มีกฎระเบียบควบคุม เช่น การเงิน
และ การดูแลสุขภาพ ต่างนำแนวคิดนี้ไปใช้เช่นเดียวกัน
เนื่องจากองค์กรเหล่านี้ต้องการลดการพึ่งพาผู้ให้บริการภายนอก
คงความเป็นเจ้าของข้อมูลที่เป็นกรรมสิทธิ์ของตน และใช้ AI
บนสภาพแวดล้อมที่ปลอดภัยและคุ้มค่าการลงทุน
ซึ่งโดยมากมักใช้โครงสร้างพื้นฐานไอทีแบบไฮบริดหรือที่ติดตั้งอยู่ภายในองค์กร (on-premise)
โอเพ่นซอร์ส’
เสาหลักของกลยุทธ์
เขากล่าวว่า
โอเพ่นซอร์สกำลังก้าวขึ้นเป็นโครงสร้างพื้นฐานสำคัญที่จะช่วยให้องค์กรประสบความสำเร็จในการควบคุม
AI
ของตน (AI sovereignty) ซึ่งไม่เพียงเพราะโอเพ่นซอร์สช่วยให้แยกออกมาเป็นเอกเทศได้เท่านั้นแต่ยังให้สิทธิ์ในการควบคุมด้วย
การเข้าถึงโมเดลด้านภาษาขนาดใหญ่ที่เป็น
"โอเพ่นซอร์ส"
รวมถึงสามารถเข้าถึงเครื่องมือโอเพ่นซอร์สที่ครอบคลุมความต้องการทั้งหมดที่ต้องการใช้ในการสร้างและคงความสามารถในการปรับขนาดของแพลตฟอร์ม
AI
ต่างๆ ได้นั้น จะช่วยให้ภาครัฐและองค์กรธุรกิจสามารถตรวจสอบ
ปรับเปลี่ยน และปรับแต่งระบบ AI ให้เหมาะกับความต้องการเฉพาะของตนได้
เมื่อมีการนำแพลตฟอร์ม
open
source AI ไปใช้อย่างเหมาะสม
ผู้ใช้จะสามารถมองเห็นการเคลื่อนไหวหรือกระแสการไหลของข้อมูล และ
ตรรกะหรือระบบการใช้เหตุผลที่ใช้ขับเคลื่อนผลลัพธ์ของ AI ทั้งยังมีความยืดหยุ่นในการสร้างสรรค์สิ่งใหม่ได้อย่างรวดเร็วผ่านความร่วมมือกับชุมชนทั่วโลก
โดยภาพรวมแม้รูปแบบการกำกับดูแลจะต่างกัน
แต่มีสิ่งหนึ่งที่แต่ละประเทศมีแนวคิดเหมือนกัน คือ
ความต้องการอย่างแรงกล้าที่จะปรับแต่ง AI ให้เข้ากันกับค่านิยมในท้องถิ่น
ภาษา ความต้องการ และเป้าหมาย ของท้องถิ่นนั้นๆ
มิติ
‘ความอิสระ’ ทางดิจิทัล
Sovereign
AI ไม่ใช่การโดดเดี่ยวตัวเอง
แต่มีความเชื่อมโยงอย่างลึกซึ้งกับหลักการที่กว้างขวางของความมีอิสระทางดิจิทัล (digital
sovereignty) ซึ่งแบ่งเป็นสามมิติหลักคือ
ความมีอิสระทางเทคโนโลยี
(technology
sovereignty): การที่ระบบ AI เข้ามาเป็นฐานของบริการสาธารณะต่างๆ
และเป็นฐานหลักให้กับการแข่งขันทางเศรษฐกิจมากขึ้น ทำให้ความสามารถในการออกแบบ
สร้าง และใช้งานระบบเหล่านี้ได้อย่างอิสระเป็นสิ่งสำคัญ
ความมีอิสระในการปฏิบัติงาน
(operational
sovereignty): มิตินี้ไม่ได้ดูเพียงว่าใช้ระบบ AI ที่ไหน เช่น ใช้อยู่ภายในองค์กร (on-premises) หรือใช้บนคลาวด์ของตนเอง
(sovereign cloud) แต่ยังต้องดูว่าใครมีอำนาจ มีทักษะ
และสามารถเข้าถึงระบบเพื่อดำเนินงานและบำรุงรักษาระบบเหล่านั้นด้วย
ความมีอิสระด้านข้อมูล
(data
sovereignty): ความมีอิสระด้านข้อมูลเกี่ยวข้องกับการกำกับดูแลด้านกฎหมายและจริยธรรมของข้อมูล
เพื่อให้มั่นใจว่าการรวบรวม การจัดเก็บ และการประมวลผลข้อมูล
อยู่ภายในขอบเขตของกฎหมายและค่านิยมของประเทศ
ความท้าทายที่รออยู่
แม้มีแนวโน้มว่าจะมีการใช้
Sovereign
AI เพิ่มขึ้น
แต่การนำไปใช้ในวงกว้างยังคงประสบความซับซ้อนจากความท้าทายหลายประการ ไม่ว่าจะเป็น
การประมวลผล ข้อมูล ทักษะ และการกำกับดูแล
อย่างไรก็ดี
อุปสรรคเหล่านี้สามารถหมดไปได้ด้วยการผสานพลังจากการลงทุนของภาครัฐ
นวัตกรรมของภาคเอกชน ความร่วมมือระหว่างประเทศ
และการสนับสนุนชุมชนโอเพ่นซอร์สอย่างยั่งยืน
ที่มา
: กรุงเทพธุรกิจ
วันที่
22 สิงหาคม 2568