ประเทศไทยยังไม่มีแผนยุทธศาสตร์เซมิคอนดักเตอร์แห่งชาติ
ต่างจากประเทศเพื่อนบ้านที่ก้าวไปข้างหน้าแล้ว
ทำให้ไทยเสียเปรียบในการแข่งขันในระยะยาว
ภาครัฐจึงจำเป็นต้องเร่งจัดทำแผนยุทธศาสตร์ที่ชัดเจนและครอบคลุม
ทั้งในด้านการลงทุน R&D นโยบายพลังงานสะอาด
และการสร้างบุคลากรที่มีคุณภาพ เพื่อให้ไทยสามารถแข่งขันในตลาดโลกได้อย่างยั่งยืน
สำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า
(สนค.) กระทรวงพาณิชย์ ร่วมกับมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
จัดสัมมนาเผยแพร่ผลการศึกษาโครงการ
"แนวทางการปรับโครงสร้างภาคการส่งออกเพื่อยกระดับขีดความสามารถทางการแข่งขันของไทยในตลาดโลกให้เติบโตอย่างยั่งยืน" เมื่อวันที่ 15 ส.ค. 2568
นายนัยวุฒิ
วงษ์โคเมท อุปนายกสมาคมการค้าอุตสาหกรรมไทย เซมิคอนดักเตอร์ กล่าวในหัวข้อเสวนา
"ศักยภาพการส่งออกของอุตสาหกรรมสมัยใหม่ของไทย" ว่า
อุตสาหกรรมไมโครชิปและเซมิคอนดักเตอร์เป็นหัวใจของการส่งออกของประเทศกว่า 40% และเป็นส่วนสำคัญในอุตสาหกรรมหลักอื่นๆ เช่น อิเล็กทรอนิกส์และยานยนต์
นายนัยวุฒิ
กล่าวว่า แม้บริษัทไทยจะมีข้อจำกัดด้านขนาดและการลงทุน
แต่ก็สามารถแข่งขันกับบริษัทต่างชาติได้ โดยต้องมี กลยุทธ์ที่ชัดเจน อาทิ
การเลือกตลาดเฉพาะกลุ่ม (market niche) ที่ไม่ใหญ่มาก
เช่น ตลาด RFID และการเป็นผู้เล่นที่เก่งที่สุดในโลก ใน segment
ที่เลือก โดยต้องสามารถแข่งขันกับผู้เล่นรายใหญ่ได้
นอกจากนี้
ยังได้เสนอแนวทางการพัฒนาอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ของไทย โดยแบ่งเป็น 4 ส่วนหลัก รวมถึงข้อเสนอแนะเชิงนโยบายสำหรับแต่ละส่วน แบ่งเป็น
1.
การออกแบบ (Design) ถือเป็นส่วนสำคัญที่ใช้คนน้อยแต่สร้างผลกระทบต่ออุตสาหกรรมต่อเนื่องได้สูง
เนื่องจากใช้เงินลงทุนไม่มากเมื่อเทียบกับการผลิตจริง
หากมีการสนับสนุนเรื่องการออกแบบอย่างจริงจัง
จะสามารถเชื่อมโยงและเสริมสร้างความแข็งแกร่งให้กับอุตสาหกรรมอื่นๆ ทั่วประเทศได้
2.
การผลิต (Wafer Fab) ยอมรับว่าการผลิตเวเฟอร์เป็นส่วนที่ท้าทายที่สุด
เนื่องจากต้องใช้เงินลงทุนสูงมาก
ในอดีตประเทศไทยเคยมีความพยายามจะตั้งโรงงานผลิตเวเฟอร์แต่ไม่สำเร็จ
ปัจจุบันปัญหาที่ยังคงอยู่คือ การขาดแคลนห่วงโซ่อุปทาน (supply chain) และบุคลากร (talent) ที่มีความเชี่ยวชาญ
แต่ก็มองว่าถึงเวลาแล้วที่ไทยจะต้องเริ่มต้นลงทุนในส่วนนี้
โดยอาจจะเริ่มจากโรงงานขนาดเล็ก เช่น โรงงานที่ใช้เทคโนโลยีเก่า (Legacy
Fab) ซึ่งยังคงมีความต้องการในตลาดและใช้เงินลงทุนไม่สูงมากนักเมื่อเทียบกับเทคโนโลยีที่ล้ำสมัย
โดยอาจมีมูลค่าการลงทุนประมาณ 50,000
ล้านบาทและภาครัฐอาจจะร่วมลงทุนส่วนหนึ่ง
3.
การประกอบและทดสอบ (ATP/Packaging) ประเทศไทยมีความเข้มแข็งในอุตสาหกรรมบรรจุภัณฑ์
(packaging) อยู่แล้ว โดยมีส่วนแบ่งการตลาดโลกอยู่ที่ 2% อย่างไรก็ตาม มีการคาดการณ์ว่าส่วนแบ่งการตลาดนี้จะลดลงเหลือเพียง 1% ใน 7 ปีข้างหน้า หากไม่มีการสนับสนุนอย่างจริงจัง
จึงเป็นเรื่องเร่งด่วนที่ต้องหาทางรักษาและพัฒนาส่วนนี้ให้ดีขึ้น
4.
โฟโทนิคส์ (Photonics) อุตสาหกรรมโฟโทนิคส์เป็นอีกหนึ่งส่วนที่มีศักยภาพ
เนื่องจากประเทศไทยมีความแข็งแกร่งในเรื่อง Organic และมีห่วงโซ่อุปทานในประเทศอยู่มาก
ทั้งผู้เล่นไทยและต่างชาติ โดยเฉพาะจากจีน
จึงมองว่าภาครัฐควรให้ความสำคัญและสนับสนุนอุตสาหกรรมนี้มากขึ้น
เพราะอาจเป็นอีกจุดแข็งที่ทำให้ไทยก้าวขึ้นมาเป็นผู้นำได้
ทั้งนี้
สิ่งที่น่ากังวลที่สุดคือ
ประเทศไทยเป็นประเทศเดียวในภูมิภาคที่ยังไม่มีแผนยุทธศาสตร์เซมิคอนดักเตอร์แห่งชาติ
ในขณะที่ประเทศเพื่อนบ้านอย่างมาเลเซีย เวียดนาม และสิงคโปร์
ต่างก็มีแผนยุทธศาสตร์ที่ชัดเจนแล้ว โดยข่าวดีขณะนี้
สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) อยู่ระหว่างการร่างแผนยุทธศาสตร์ดังกล่าว
และคาดว่าจะแล้วเสร็จภายในปลายปีนี้
ซึ่งถือเป็นสัญญาณเชิงบวกที่จะได้รับการสนับสนุนจากภาครัฐอย่างเป็นรูปธรรม
ดังนั้น
จึงเสนอแนวคิดที่ภาครัฐควรพิจารณาเพื่อขับเคลื่อนอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ของไทย
ดังนี้
1.
รัฐบาลควรจัดสรรงบประมาณสนับสนุนอย่างต่อเนื่องในระยะยาว เช่น
งบประมาณ 10,000 ล้านบาท เป็นเวลา 20
ปีต่อเนื่อง เพื่อสร้างความมั่นคงให้กับอุตสาหกรรม
2.
การเชื่อมโยงกับอุตสาหกรรมในประเทศ ต้องมีมาตรการส่งเสริมให้เกิด
ชิปในประเทศ (Local Chip) ที่สามารถเชื่อมโยงและเป็นส่วนหนึ่งของห่วงโซ่อุปทานในอุตสาหกรรมอื่นๆ
ของไทย เพื่อลดการพึ่งพาการนำเข้า
3.
นโยบายจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐ
เพื่อสนับสนุนให้หน่วยงานภาครัฐจัดซื้อผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนประกอบชิปที่ผลิตโดยคนไทย
เพื่อเป็นตลาดแรกและสร้างโอกาสให้บริษัทไทยสามารถพัฒนาและเติบโตต่อไปได้
4.
การทำงานร่วมกันของทุกภาคส่วน
แม้ปัจจุบันจะได้รับการสนับสนุนจากกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัย
และนวัตกรรม (อว.) และ BOI แล้ว ยังควรมีกระทรวงต่างประเทศ
และกระทรวงพาณิชย์ รวมถึงเอกชนและสถาบันการศึกษา เข้าร่วมวางแผน ดึงดูดการลงทุน
และขยายตลาดการส่งออกให้เติบโตอย่างยั่งยืน
"อุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์เป็นเกมระยะยาวที่ต้องอาศัยการวางแผนและแก้ไขปัญหาอย่างต่อเนื่อง
ไม่ใช่แค่การแก้ปัญหาเฉพาะหน้า
โดยมองว่าการมีแผนยุทธศาสตร์ที่ชัดเจนและการสนับสนุนจากภาครัฐอย่างจริงจัง
จะทำให้ประเทศไทยสามารถปรับตัวและแข่งขันในตลาดโลกได้อย่างยั่งยืนในอนาคต"
ที่มา : กรุงเทพธุรกิจ
วันที่ 19 สิงหาคม 2568