ผืนทรายสีเทาใต้ฝ่าเท้ามนุษย์ได้กลายเป็นหัวใจของอารยธรรมดิจิทัล
เมื่อซิลิคอนถูกหลอมและขีดเส้นทางให้อิเล็กตรอนวิ่ง โลกก็ไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป
จากคลื่นวิทยุเครื่องแรกถึงยุคปัญญาประดิษฐ์ (AI)
ทุกย่างก้าวของเทคโนโลยีล้วนถูกเขียนขึ้นจากชะตากรรมของสารกึ่งตัวนำ
และเรื่องราวต่อไปนี้ คือ มหากาพย์ที่พิสูจน์ให้ทุกคนเห็นว่า
เม็ดทรายเพียงหนึ่งเม็ดที่มนุษย์เราเหยียบย้ำและมองข้ามในครั้งอดีต
สามารถจุดระเบิดพายุแห่งอำนาจ เศรษฐกิจ และการช่วงชิงทรัพยากรระหว่างชาติได้อย่างไร
?
เริ่มต้นจาก 3 นวัตกร
สู่จุดแตกหักที่สร้างอาณาจักรนวัตกรรม
เสียงครึกโครมครั้งแรกดังขึ้นในห้องทดลองเบล
(Bell
Labs) เมื่อวิลเลียม ชอคลีย์, จอห์น บาร์ดีน
และวอลเตอร์ แบรทเทน จุดประกายชีวิตให้ “ทรานซิสเตอร์”
เครื่องต้นแบบในเดือนธันวาคม ค.ศ. 1947
เหตุการณ์เล็ก ๆ
ในวันนั้นไม่ได้เพียงนำไปสู่รางวัลโนเบล หากยังเปิดประตูสู่ความฝันใหม่ คือ
การย่อโลกอิเล็กทรอนิกส์ลงบนผลึกซิลิคอนที่เล็กยิ่งกว่าหัวเข็ม
แต่เพียงไม่กี่ปีต่อมา
แรงเสียดทานระหว่างชอคลีย์กับลูกทีมได้ก่อกำเนิด ‘แปดกบฏ(Traitorous
Eight)’ ผู้ตีจากไปสร้าง Fairchild Semiconductor ในปี 1957 การแตกหน่อครั้งนั้นไม่เพียงสถาปนาบริษัทหนึ่งขึ้นมา
แต่ยังจุดไฟให้ซิลิคอนแวลลีย์
ก่อรูปวัฒนธรรมใหม่
สตาร์ตอัปและเงินทุนที่มีความเสี่ยงสูงที่หล่อเลี้ยงผู้บุกเบิกนับพันราย
ความทรงจำเรื่องการทรยศจึงกลับกลายเป็นเชื้อเพลิง
ให้หุบเขาแห่งทรายผลิดอกกลายเป็นดินแดนแห่งนวัตกรรม
การรวมกันที่เปลี่ยนโลกของ แจ็ก คิลบี
และ โรเบิร์ต นอยซ์
เพียง 1 ปีหลังการแยกทาง แจ็ก คิลบี
แห่งรัฐเทกซัส และ โรเบิร์ต นอยซ์ จากแฟร์ไชลด์ ต่างค้นพบหนทางเดียวกัน นั่นก็คือ
การหลอมทรานซิสเตอร์ ตัวต้านทาน และตัวเก็บประจุ ลงบนแผ่น Semiconductor
Wafer ชิ้นเดียว จึงถือกำเนิด ‘วงจรรวม’ ขึ้นระหว่าง ค.ศ. 1958–1959
และเมื่อมันมาบรรจบกับทรานซิสเตอร์ซิลิคอนเชิงพาณิชย์เครื่องแรกที่เทกซัสอินสตรูเมนต์พัฒนาไว้ตั้งแต่ปี
1954 โลกก็เปิดฉากยุคใหม่ ยุคเครื่องคิดเลขขนาดจิ๋วและดาวเทียมที่โคจรเหนือฟ้า
กฎของมัวร์และสัญญาณการก่อตัวของความขัดแย้งระหว่างประเทศ
กอร์ดอน มัวร์ เคยสังเกตว่า
จำนวนทรานซิสเตอร์บนชิปเพิ่มขึ้นเป็น 2 เท่าทุก ๆ 2 ปีโดยประมาณ คำทำนายในปี 1965
นี้ที่โลกจดจำกันในนาม ‘กฎของมัวร์’ ได้กลายเป็นแผนที่เดินทางของอุตสาหกรรม
และเพียง 6 ปีถัดมา Intel4004
ไมโครโปรเซสเซอร์เชิงพาณิชย์ตัวแรกก็ถือกำเนิดขึ้น
เปลี่ยนคอมพิวเตอร์จากของเล่นในห้องทดลองให้กลายเป็นเครื่องมือที่ตั้งได้บนโต๊ะทำงานของทุกบริษัท
แต่เมื่อเทคโนโลยีก้าวหน้า
เงามืดทางธุรกิจก็ทาบทับหนาแน่นขึ้น กลางทศวรรษ 1980
บรรษัทญี่ปุ่นพลิกเกมด้วยการปรับสายการผลิต DRAM (Dynamic
Random-Access Memory) จนกวาดส่วนแบ่งตลาดไปถึง 80%
ความสำเร็จนั้นสะเทือนผู้ผลิตอเมริกันจนราคาชิปทรุด
คนงานถูกปลด และข้อกล่าวหาเรื่องการทุ่มตลาดปะทุเป็นวิกฤติ สุดท้ายถูกคลี่คลายด้วย
‘ข้อตกลงเซมิคอนดักเตอร์ สหรัฐ–ญี่ปุ่น’ ในปี 1986 (คนละอันกับ CHIPS
Act ที่สหรัฐทำเมื่อไม่นาน)
มีการบังคับโควตาการนำเข้า
และตั้งเป้าส่วนแบ่งตลาดต่างชาติในญี่ปุ่นอย่างเป็นทางการ
หลายฝ่ายจึงมองว่าเป็นยุทธศาสตร์รัฐต่อรัฐครั้งใหญ่
ที่เผยเงามืดของการแข่งขันเทคโนโลยีที่ก่อตัวหนาอย่างชัดเจน
ขณะที่ยักษ์ใหญ่ตะวันตกมัวถกเถียงเรื่องภาษีและสิทธิบัตร
กรุงโซลและเมืองซูวอนกลับเดินหน้าทุ่มลงทุนไม่หยุด ซัมซุงใช้กลยุทธ์
‘เรียนรู้จากการลงมือทำ’ เร่งขยายกำลังผลิต DRAM ตลอดคริสต์ทศวรรษ
1990 จนก้าวขึ้นครองบัลลังก์หน่วยความจำอย่างยาวนาน
ด้านเอสเค ไฮนิกซ์
ที่ถือกำเนิดจากฮุนไดอิเล็กทรอนิกส์ ก็เร่งเครื่องตามมาติด ๆ
ด้วยความเชี่ยวชาญเชิงกระบวนการที่สั่งสมไว้
จนปัจจุบันกลายเป็นหัวหอกผู้ป้อนชิปเอชบีเอ็มให้ศูนย์ประมวลผลปัญญาประดิษฐ์ทั่วโลก
บัลลังก์แห่งดีแรมที่ซัมซุงเคยผูกขาดไว้
จึงเริ่มสั่นคลอน เมื่อคู่แข่งจากบ้านเดียวกันบุกชิงขุมทรัพย์แห่งยุคเอไอ
ปี 1987 ที่ไต้หวัน มอร์ริส ชาง ก่อตั้ง TSMC
โรงงานรับจ้างผลิตชิปบริสุทธิ์แห่งแรกของโลก เปิดฉากโมเดลธุรกิจ
‘ฟาวดรี (Foundry)*’ ที่ปฏิวัติวงการ
ทำให้บริษัทออกแบบรายเล็กไม่ต้องแบกภาระทุ่มเงินสร้างโรงงานเอง
ผลลัพธ์ คือ คลื่นบริษัท แฟบเลส (Fabless)** ผุดขึ้นทั่วโลก
และแนวคิดใหม่นี้ยังเคลื่อนศูนย์กลางการผลิตสู่เอเชียตะวันออก
พร้อมทิ้งมรดกที่ไม่คาดคิด คือ ซัพพลายเชนชิปที่เปราะบางกว่าที่เคย
30 ปีแห่งความว่างเปล่า
สู่การสร้างสมบัติศักดิ์สิทธิ์ของ 3 ต้นกำเนิด
เมื่อก้าวเข้าสู่สหัสวรรษใหม่
เส้นทางย่อส่วนของชิปก็เริ่มชนกำแพงของฟิสิกส์
คำตอบอยู่ที่แสงอัลตราไวโอเลตช่วงสั้นพิเศษ หรือ EUV เทคโนโลยีที่ผู้เล่นส่วนใหญ่ยอมแพ้เพราะต้นทุนสูงลิบ ยกเว้นเพียง ASML
จากเนเธอร์แลนด์
ระดม Samsung Intel และ TSMC มาร่วมทุ่มวิจัยหลายหมื่นล้านบาท กว่าเกือบ
3 ทศวรรษแห่งการล้มลุกคลุกคลาน เครื่องสแกน EUV เครื่องแรกก็เข้าสู่สายการผลิตในปี
2019
นับจากนั้น
บริษัทแทบจะผูกขาดตลาดเครื่องลิโทกราฟีระดับสูงไว้เกือบทั้งหมด
ไม่แปลกที่สื่อจะขนานนามว่า ‘สมบัติศักดิ์สิทธิ์’ ผู้กู้กฎของมัวร์กลับคืนมา
ด้านมืดของอุตฯ
เมื่อบริษัทใหญ่มีสมบัติศักดิ์สิทธิ์ในมือ
ทว่าเบื้องหลังการผูกขาดเทคโนโลยีขั้นวิกฤติ
ก็มักฉายด้านมืดขึ้นมาอีกครั้งในปี 2009 สหภาพยุโรปปรับอินเทลกว่า 50,000 ล้านบาท
ฐานใช้อำนาจตลาดกีดกันคู่แข่ง แม้บริษัทจะอุทธรณ์สำเร็จบางส่วน
แต่บทเรียนเรื่องพลังผูกขาดก็ยังฝังลึกในความทรงจำของอุตสาหกรรม
ขณะเดียวกัน
ควอลคอมม์ก็ถูกลงโทษในข้อหากดราคาชิปเบสแบนด์เพื่อบีบคู่แข่งออกจากตลาด
เรื่องราวเหล่านี้ตอกย้ำว่า ไม่ว่าบริษัทจะใหญ่เพียงใด
หรือนวัตกรรมจะยิ่งใหญ่แค่ไหน ก็ไม่อาจหลีกพ้นกฎหมายการแข่งขันได้
เกมอาจจะเปลี่ยนเล็กน้อย…เมื่อโคโลน่ามาเยือนโลก
แล้วโลกก็สะดุด เมื่อโรคระบาดแพร่ไปทั่ว
โรงงานเซมิคอนดักเตอร์ทั่วเอเชียต้องหยุดสายพาน ในขณะเดียวกัน
ผู้คนทั้งโลกหันบ้านให้กลายเป็นออฟฟิศ ความต้องการอุปกรณ์พุ่งทะยาน
แต่ชิปในรถยนต์และเครื่องใช้กลับกลายเป็นของหายาก
ภายในปี 2021 อุตสาหกรรมยานยนต์ทั่วโลกจำต้องลดกำลังผลิตลงกว่า 10 ล้านคัน
เพียงเพราะขาดชิป
เหตุการณ์นี้เปลือยให้เห็นช่องโหว่ของซัพพลายเชนโลกที่ผูกติดกับโรงงานไม่กี่แห่งในเกาหลีใต้
ไต้หวัน และจีนแผ่นดินใหญ่
จากไวรัสสู่การเมือง
วิกฤติยังเร่งให้การเมืองแทรกแซงลึกยิ่งกว่าเดิม
สหรัฐฯ เปิดฉาก ‘ชิปวอร์ (Chip War)’ ตั้งแต่ปี 2018
ด้วยการจำกัดการส่งออกอุปกรณ์ลิโทกราฟีและชิปขั้นสูงสู่จีน ก่อนจะตามมาด้วยกฎหมาย
ชิปส์แอ็กต์ (CHIPS Act) ที่อัดฉีดกว่า 52,700
พันล้านดอลลาร์ เพื่อดึงการผลิตกลับบ้าน
จีนโต้กลับด้วยการเร่งพึ่งพาตนเองและเข้มงวดการควบคุมแร่หายาก
ขณะเดียวกัน เนเธอร์แลนด์ก็ประกาศข้อบังคับ
ห้ามส่งมอบเครื่องอียูวีบางรุ่นให้โรงงานจีนในปี 2024 โลกจึงก้าวเข้าสู่ยุค
‘สงครามชิป’ อย่างเต็มรูปแบบ ที่อนาคตของเทคโนโลยีและภูมิรัฐศาสตร์ถักทอกันแน่นหนาไม่อาจแยกขาดจากกัน
ยิ่งใหญ่ยิ่งล้มดัง
ท่ามกลางการชักเย่อของมหาอำนาจ กระแส AI
ก็ผลักให้ความต้องการหน่วยความจำแบนด์วิธสูงพุ่งทะยาน
เอสเค ไฮนิกซ์ คว้าสัญญาหลักกับผู้ผลิต GPU
รายใหญ่ที่สุดของโลก และในไตรมาสแรกปี 2025 บริษัทก็พลิกชะตา
แย่งบัลลังก์ DRAM จากซัมซุงได้สำเร็จเป็นครั้งแรกในรอบ 3
ทศวรรษ
การชิงบัลลังก์ครั้งนี้สะกิดเตือนทุกคนว่า
แม้จะมีทรัพยากรและประสบการณ์ล้นมือ ผู้นำก็ไม่อาจนิ่งนอนใจได้เลย
การต่อสู้ ความรุ่งโรจน์
และมุมมืดของสารกึ่งตัวนำ
หากย้อนมองเส้นทางของทรายซิลิคอน
จะเห็นว่าทุกก้าวสำเร็จล้วนพัวพันกับความขัดแย้ง
ตั้งแต่การท้าทายผู้บังคับบัญชาในปี 1957 การฟ้องร้องสิทธิบัตรช่วงกำเนิดวงจรรวม
การเจรจาค้าชิปในสงครามเย็น จนถึงข้อจำกัดการส่งออกในปัจจุบัน
ประวัติศาสตร์ของสารกึ่งตัวนำจึงบอกเราว่า
นวัตกรรมไม่เคยถือกำเนิดในสุญญากาศ
แต่มันเกิดขึ้นจากการปะทะกันระหว่างความทะเยอทะยานของนักวิทยาศาสตร์
ความโลภของตลาด และยุทธศาสตร์ของรัฐชาติ
วันนี้
เส้นลวดโลหะบนแผ่นซิลิคอนซึ่งบางกว่าเส้นผมหลายหมื่นเท่า
กำลังวิ่งเข้าหาขีดจำกัดทางฟิสิกส์ วิศวกรของ ASML กำลังเร่งสร้างเครื่องอียูวี
หรือ ‘ไฮ-เอ็นเอ’ เพื่อผลักเส้นขอบเขตลงไปถึงระดับแองสตรอม ***
ขณะที่ TSMC ย้ายสายการผลิตสู่ยุค 2 นาโนเมตร
และนักวิจัยทั่วโลกเริ่มหันไปทดลองวัสดุใหม่
ตั้งแต่คาร์บอนนาโนทิวบ์จนถึงทรานซิสเตอร์ช่องนาโน
ชะตากรรมของทรายซิลิคอนจึงอาจเปลี่ยนมืออีกครั้ง
แต่ไม่ว่าใครจะครองเทคโนโลยี เรื่องจริงหนึ่งที่ยังคงเด่นชัด ทุกฟังก์ชันในชีวิตประจำวันต่างยึดโยงอยู่กับผลึกซิลิคอน และทุกผลึกซิลิคอนก็ล้วนผ่านการหล่อหลอมในเตาแห่งการต่อสู้ ความรุ่งโรจน์กับด้านมืดของวงการกึ่งตัวนำจึงไม่มีวันแยกจากกันได้
ที่มา : mmthailand
วันที่ 20 สิงหาคม 2568