กระทรวงดีอีระบุหลัง
World
Economic Forum ระบุให้ Cyber Warfare หรือสงครามไซเบอร์
เป็นความเสี่ยงอันดับ 5 ของโลก
ซึ่งอาจสร้างผลกระทบอย่างร้ายแรงต่อโครงสร้างพื้นฐานสำคัญของประเทศ เร่งกำชับสกมช.
ดูแลทุกมิติ
นายประเสริฐ
จันทรรวงทอง รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม
ประธานการประชุมคณะกรรมการกำกับดูแลด้านการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ (กกม.)
ครั้งที่ 1/2568 ได้กล่าวต่อที่ประชุมว่า
สงครามไซเบอร์ (Cyber Warfare) เป็นความเสี่ยงสำคัญที่กระทบต่อเสถียรภาพโลก
ปัจจุบันการโจมตีทางไซเบอร์ไม่ได้จำกัดอยู่แค่ระบบสารสนเทศขององค์กรหรือภาครัฐแต่ยังขยายไปสู่โครงสร้างพื้นฐานสำคัญ
ซึ่งอาจนำไปสู่วิกฤตเศรษฐกิจและสังคมของประเทศ
โดยที่ผ่านมา
สกมช.
ได้บูรณาการความร่วมมือกับหน่วยงานทุกภาคส่วนทั้งในและต่างประเทศอย่างต่อเนื่อง
ส่งผลให้ประเทศไทยติดอันดับ 7 ของโลก และอันดับ 4 ของเอเชียแปซิฟิก จากการจัดระดับ
ดัชนีความมั่นคงไซเบอร์โลก หรือ Global Cybersecurity Index (GCI) 2024 ของ ITU สะท้อนถึงความก้าวหน้าในการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ของประเทศ
อีกทั้ง
การประชุมดังกล่าว ยังมีมติที่สำคัญ ดังนี้ แต่งตั้งคณะอนุกรรมการด้านกฎหมายใน
กกม.กำหนดและตรวจสอบมาตรฐานความมั่นคงไซเบอร์ของหน่วยงาน CII
เร่งประเมินความเสี่ยงด้านไซเบอร์ของ CII ให้เป็นไปตามมาตรฐาน
ยกระดับ Thailand’s National Cyber Exercise 2025
ให้เป็นการฝึกจำลองภัยคุกคามไซเบอร์ระดับวิกฤติ
รวมถึงศึกษาและปรับปรุงกฎหมายไซเบอร์ให้ครอบคลุมและสอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบัน
นายประเสริฐ
ยังเน้นย้ำอีกว่า
การที่ประเทศไทยได้รับการจัดอันดับความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ของโลกดีขึ้นแต่ทั้ง
สกมช. และทุกภาคส่วนต้องเร่งผลักดันและขับเคลื่อนมาตรการด้านไซเบอร์ในทุกมิติ
เพื่อรักษามาตรฐานและเตรียมพร้อมรับมือกับ Cyber Warfare และภัยคุกคามทางไซเบอร์ที่เปลี่ยนไปอย่างรวดเร็วในปัจจุบัน
“ปัจจุบันภัยคุกคามทางไซเบอร์มีความซับซ้อนและรุนแรงเพิ่มมากขึ้น
จากรายงาน The Global Risks Report 2025 โดย World
Economic Forum ระบุให้ Cyber Warfare เป็นความเสี่ยงอันดับ
5 ของโลก ซึ่งอาจสร้างผลกระทบอย่างร้ายแรงต่อโครงสร้างพื้นฐานสำคัญของประเทศ
ดังนั้น การเตรียมความพร้อมเชิงรุก จึงเป็นสิ่งที่จำเป็นอย่างยิ่ง”
พลอากาศตรี
อมร ชมเชย เลขาธิการกมช.
ก็ขานรับข้อสั่งและพร้อมเดินหน้ายกระดับการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ของประเทศให้ดียิ่งขึ้น
พร้อมนำประเด็นปัญหาและอุปสรรคจากการบังคับใช้กฎหมายไปต่อยอดในการพัฒนาปรับปรุงแก้ไขพระราชบัญญัติการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์
พ.ศ. 2562 ให้มีความครอบคลุมและทันต่อสภาวการณ์ปัจจุบันยิ่งขึ้น
เพื่อจะสามารถนำมาเป็นเครื่องที่สำคัญของประเทศในการสร้างกลไก มาตรการ ป้องกัน
รับมือ
และกำหนดมาตรฐานด้านการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ให้ครอบคลุมของหน่วยงานทุกภาคส่วนต่อไป
ที่มา
:
กรุงเทพธุรกิจ
วันที่
10 มีนาคม 2568