ขณะที่สงครามชิงอำนาจด้านเทคโนโลยีระหว่าง
‘สหรัฐ-จีน’ ทวีความเข้มข้น กลุ่มประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (Southeast
Asia) อาจไม่ต้องเลือกรีบเลือกว่าจะอยู่ฝั่งใด
หากแต่สามารถเรียนรู้จากทั้งสองขั้ว
พร้อมกับพัฒนาเทคโนโลยีของตนเองให้มีอธิปไตยมากขึ้น
นี่คือข้อเสนอที่เกิดขึ้นบนเวที
East
Tech West 2025 ซึ่งจัดโดยสำนักข่าว CNBC ณ
กรุงเทพ เมื่อวันที่ 27 มิถุนายนที่ผ่านมา โดยนักวิเคราะห์หลายรายต่างเห็นพ้องว่า
อาเซียนไม่ควรถูกบีบบังคับให้ต้องเลือกข้างท่ามกลางแรงกดดันจากสองมหาอำนาจ
“ภูมิภาคนี้พึ่งพาเศรษฐกิจของทั้งจีนและสหรัฐอย่างมาก
การเลือกฝั่งใดฝั่งหนึ่งจะไม่เป็นผลดี” จูเลียน กอร์แมน (Julian
Gorman) หัวหน้าภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกจากสมาคมโทรคมนาคม GSMA กล่าว
เขาเสนอว่าควรหลีกเลี่ยงการแยกขั้วของเทคโนโลยี
และพยายามรักษาความเป็นสากลของมาตรฐาน
เพื่อให้เทคโนโลยีสามารถรับใช้ผู้คนโดยไม่ผูกติดกับการเมืองระหว่างประเทศ
จีนรุกด้วยโอเพนซอร์ส
สหรัฐครองฮาร์ดแวร์
จอร์จ
เฉิน (George
Chen) ผู้บริหารจาก The Asia Group อธิบายว่า
ในช่วงแรกของกระแสเอไอ
ประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้มีแนวโน้มใช้โมเดลจากฝั่งสหรัฐ เช่น Google หรือ Microsoft เป็นหลัก แต่ล่าสุด DeepSeek ของจีนได้กลายเป็นตัวเลือกใหม่ที่ได้รับความนิยม
เพราะเปิดให้ใช้ในรูปแบบโอเพนซอร์ส และมีต้นทุนต่ำ
เหมาะกับการต่อยอดเพื่อสร้างโมเดลที่ตอบโจทย์ท้องถิ่น
“โอเพนซอร์สไม่ใช่แค่เรื่องเทคนิค
แต่มันคือการเปิดอำนาจให้ชุมชนท้องถิ่นสามารถดัดแปลง พัฒนา
และใช้เทคโนโลยีตามความต้องการของตัวเอง”
นักวิชาการด้านเทคโนโลยีอิสระให้ความเห็นเสริม
ขณะที่ในด้านฮาร์ดแวร์
Nvidia
จากสหรัฐ ยังคงเป็นผู้นำในตลาดชิปเอไอ
และแม้รัฐบาลสหรัฐจะจำกัดการส่งออกชิปไปจีน
แต่ภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ยังสามารถเข้าถึงเทคโนโลยีเหล่านี้ได้อยู่
ซึ่งเป็นโอกาสที่ควรใช้ให้คุ้มค่า
“อย่าเพิ่งรีบเลือกข้าง
จงคิดถึงการเพิ่มศักยภาพทางเศรษฐกิจของตัวเองให้ได้มากที่สุด” เฉินกล่าว
การไม่เลือกข้างคือการเลือกสร้างพื้นที่ของตนเอง
ในวงเสวนาย้ำว่า
แม้ภูมิภาคนี้จะไม่ได้เป็นผู้พัฒนาโมเดลเอไอระดับสูง แต่ก็มีจุดแข็ง เช่น
ฐานผู้ใช้งานขนาดใหญ่ แรงงานรุ่นใหม่ที่พร้อมพัฒนา และต้นทุน R&D
ที่ต่ำกว่า
กรณีศึกษาของ
รัฐยะโฮร์ ในมาเลเซีย
เป็นตัวอย่างที่ชัดเจนของการเติบโตด้านดาต้าเซ็นเตอร์และโครงสร้างพื้นฐานคอมพิวติ้งระดับโลก
ที่เริ่มดึงดูดการลงทุนจากบริษัทเทคโนโลยีขนาดใหญ่
เฉิน
เสนอว่า หากรัฐต่างๆ ในภูมิภาคสามารถ
สร้างระบบนิเวศเพื่อดึงดูดบริษัทที่มีเทคโนโลยีขั้นสูงเข้ามา
ควบคู่กับการพัฒนาทักษะแรงงานในประเทศ
ก็จะสามารถเพิ่มขีดความสามารถทางเทคโนโลยีโดยไม่ต้องตกเป็นฝ่ายตาม
“นี่คือกลยุทธ์เดียวกับที่จีนเคยใช้ในการไล่ตามประเทศตะวันตก
เราเรียนรู้ได้จากประสบการณ์นั้น” เฉินอธิบาย พร้อมชี้ว่า
จุดแข็งของอาเซียนอยู่ที่ต้นทุนต่ำ แรงงานวัยหนุ่มสาว
และระบบแอปพลิเคชันที่มีชีวิตชีวา
ซึ่งอาจทำให้ภูมิภาคนี้กลายเป็นแหล่งทดสอบสำหรับการใช้งานเอไอกับชีวิตประจำวันของผู้คน
อย่างไรก็ตาม
การพัฒนาเทคโนโลยีเพียงลำพังไม่อาจทำให้อาเซียนรอดพ้นจากการเป็น ‘หมาก’
ในเกมของมหาอำนาจ
หากไม่มีการรวมพลังระหว่างประเทศในภูมิภาคเพื่อสร้างกรอบกำกับดูแลร่วม
และมีอำนาจต่อรองในเวทีระหว่างประเทศ
โอกาสสู่การเป็น
‘สนามกลาง’ ด้านกฎระเบียบเอไอระดับโลก
อีกหนึ่งบทบาทที่ผู้เชี่ยวชาญเห็นว่าเอเชียตะวันออกเฉียงใต้สามารถก้าวขึ้นมาเป็นผู้นำได้คือ
สนามกลางของการกำกับดูแลเอไอ
โดยเฉพาะในสภาวะที่มหาอำนาจยังมีความขัดแย้งด้านกฎเกณฑ์ และนโยบายของสหภาพยุโรป (EU
AI Act) ยังไม่ได้รับการตอบรับจากสหรัฐอย่างเป็นรูปธรรม
กอร์แมน
เสนอว่า เอเชียตะวันออกเฉียงใต้สามารถเป็น ‘เวทีเจรจา’
ที่จีนกับสหรัฐมาเจอกันเพื่อหารือเรื่องการใช้เอไออย่างมีความรับผิดชอบ
และภูมิภาคนี้เองก็สามารถริเริ่มกฎเกณฑ์ร่วม
เช่นเดียวกับตัวอย่างในสิงคโปร์ที่ออกแนวปฏิบัติเรื่องการรับมืออาชญากรรมทางไซเบอร์
(Shared
Responsibility Framework) ร่วมกับผู้ให้บริการแพลตฟอร์ม
ด้านเฉิน
เสริมว่า
การรวมพลังและประสานความร่วมมือกันระหว่างประเทศในภูมิภาคอาเซียนจะเป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยให้อาเซียนมีเสียงที่แข็งแรงบนเวทีเจรจาระดับโลก
โดยเฉพาะในประเด็นการพัฒนาและกำกับดูแลเอไอ
ซึ่งจะช่วยให้ภูมิภาคหลุดพ้นจากบทบาทเพียงแค่ผู้รับนโยบาย หรือผู้ตามที่ถูกกำหนดโดยประเทศมหาอำนาจ
กลายเป็นผู้มีส่วนร่วมในการกำหนดทิศทางเทคโนโลยี และนโยบายในอนาคตได้ด้วยตนเอง
ที่มา
:
กรุงเทพธุรกิจ
วันที่
15 ก.ค. 2568