การ์ทเนอร์
คาดการณ์ว่ากว่า 40% ของโครงการงานด้าน Agentic AI จะถูกยกเลิกไปในอีก 2 ปีข้างหน้า สาเหตุมาจากต้นทุนที่เพิ่มขึ้น
คุณค่าทางธุรกิจที่ไม่ชัดเจน รวมถึงการควบคุมความเสี่ยงที่ไม่เพียงพอ
นางสาวอนุศรี
เวอร์มา (Anushree Verma) ผู้อำนวยการนักวิเคราะห์อาวุโสของการ์ทเนอร์
กล่าวว่า “โปรเจ็กต์ Agentic AI ส่วนใหญ่ในตอนนี้ยังเป็นเพียงการทดลองเริ่มต้นหรืออยู่ในช่วงการพิสูจน์แนวคิด
(Proof of Concepts) ซึ่งขับเคลื่อนผ่านกระแสความนิยมเป็นหลักและมักถูกนำไปใช้ในทางที่ผิด
สิ่งนี้อาจทำให้องค์กรไม่เห็นต้นทุนที่แท้จริง และความซับซ้อนของการนำ AI
Agents มาใช้ในสเกลที่ใหญ่ขึ้น
ทำให้โปรเจ็กต์หยุดชะงักและไม่สามารถดำเนินการจริงได้
พวกเขาจำเป็นต้องตัดสินใจอย่างรอบคอบและครอบคลุมในกลยุทธ์การนำเทคโนโลยีใหม่นี้ไปใช้ที่ใดและอย่างไร?”
ผลการสำรวจการ์ทเนอร์เมื่อเดือนมกราคม
ปีนี้ พบว่า 19% ของผู้ตอบแบบสอบถามระบุว่าองค์กรลงทุนอย่างมีนัยสำคัญกับโปรเจกต์ Agentic
AI และ 42% ลงทุนอย่างระมัดระวัง, โดยมีเพียง
8% ที่ไม่ได้ลงทุนเลย และที่เหลืออีก 31% เลือกรอดูไปก่อน
ผู้จำหน่ายหลายรายกำลังสร้างกระแสความนิยมด้วยการทำ
“Agent
Washing” อันเป็นการรีแบรนด์ผลิตภัณฑ์เดิมที่มีอยู่แล้ว เช่น AI
Assistants, Robotic Process Automation (RPA) และ Chatbots โดยที่ไม่มีความสามารถ Agentic ที่แท้จริง
การ์ทเนอร์ประเมินว่ามีเพียงผู้จำหน่าย Agentic AI อยู่ราว
130 ราย จากหลายพันรายเท่านั้นที่เป็นของจริง
“ข้อเสนอ
Agentic
AI ส่วนใหญ่ยังขาดคุณค่าสำคัญหรือผลตอบแทนจากการลงทุน (ROI) เนื่องจากโมเดลปัจจุบันยังไม่มีการพัฒนาตัวแทนให้เป็นแบบอัตโนมัติอย่างเต็มที่เพื่อบรรลุเป้าหมายทางธุรกิจที่ซับซ้อนหรือปฏิบัติตามคำแนะนำที่มีความละเอียดอ่อนในช่วงเวลาที่ต้องการ
ยูสเคสการใช้งานหลายอย่างที่เจาะจงวางตำแหน่งเป็น Agentic ในวันนี้นั้นไม่จำเป็นต้องใช้แบบ
Agentic”
ตระหนักคุณค่าทางธุรกิจ
แม้จะมีความท้าทายในช่วงเริ่มต้น
แต่แนวโน้มการใช้ Agentic AI แสดงให้เห็นถึงพัฒนาการที่ก้าวกระโดดไปข้างหน้ากับความสามารถของ
AI และโอกาสทางการตลาด โดย Agentic AI จะนำเสนอวิธีการใหม่สำหรับเพิ่มประสิทธิภาพการใช้ทรัพยากร
แปลงงานซับซ้อนให้เป็นอัตโนมัติ และแนะนำนวัตกรรมทางธุรกิจใหม่ ๆ
เกินกว่าขีดความสามารถของบอทอัตโนมัติและผู้ช่วยเสมือนที่โปรแกรมการทำงานไว้ล่วงหน้า
การ์ทเนอร์คาดการณ์ว่า
ภายในปี 2571 อย่างน้อย 15% ของการตัดสินใจในการทำงานประจำวันจะเป็นอัตโนมัติผ่าน Agentic
AI เพิ่มขึ้นจาก 0% ในปี 2567 นอกจากนี้ ในปี 2571
แอปพลิเคชันซอฟต์แวร์สำหรับองค์กร 33% จะรวม Agentic AI ไว้เพื่อใช้งาน
โดยเพิ่มขึ้นจากน้อยกว่า 1% ในปี 2567
การ์ทเนอร์แนะนำให้ใช้
Agentic
AI กับในเคสที่ให้คุณค่าหรือมี ROI ที่ชัดเจน
โดยการผสานรวม Agents เข้ากับระบบเดิมอาจมีความซับซ้อนทางเทคนิค
มักทำให้การทำงานหยุดชะงัก
รบกวนเวิร์คโฟลว์การทำงานและต้องการการปรับเปลี่ยนที่มีต้นทุนสูง ในหลายกรณี
การคิดใหม่เกี่ยวกับขั้นตอนการทำงานด้วย Agentic AI ตั้งแต่เริ่มต้นเป็นแนวทางที่เหมาะสมที่สุดสำหรับการนำไปใช้ที่ประสบความสำเร็จ
“เพื่อให้ได้รับคุณค่าที่แท้จริงจาก
Agentic
AI องค์กรต้องเน้นไปที่ผลผลิตขององค์กร
มากกว่าการนำมาเสริมการทำงานส่วนบุคคลเพียงด้านเดียว สามารถเริ่มต้นโดยใช้ AI
agents เมื่อจำเป็นต้องตัดสินใจใช้ระบบอัตโนมัติในขั้นตอนการทำงานตามปกติ
และใช้ผู้ช่วยค้นหาข้อมูล ซึ่งเกี่ยวกับการขับเคลื่อนคุณค่าทางธุรกิจผ่านต้นทุน
คุณภาพ ความเร็ว และขนาด”
ที่มา
:
ฐานเศรษฐกิจ
วันที่
21 ก.ค. 2568