ผลสำรวจโดย
“กิกะมอน (Gigamon)” ผู้ให้บริการด้านระบบสังเกตการณ์และรักษาความปลอดภัยบนไซเบอร์
เผย เทคโนโลยี AI กำลังส่งผลกระทบต่อความปลอดภัยทางไซเบอร์
ภัยคุกคามแบบ LLM และความกังวลที่เพิ่มมากขึ้นต่อระบบคลาวด์สาธารณะ
ปัจจุบัน
โครงสร้างพื้นฐานระบบคลาวด์แบบไฮบริดกำลังเผชิญกับความตึงเครียดที่เพิ่มมากขึ้นจากอิทธิพลของปัญญาประดิษฐ์
(AI)
ที่กำลังขยายตัวอย่างรวดเร็ว จากสถานการณ์ที่เทคโนโลยี AI ได้เป็นตัวขับเคลื่อนปริมาณการรับส่งข้อมูล ความเสี่ยง
และความซับซ้อนที่ไม่เคยมีมาก่อน
คริสติ
ธีลี รองประธานฝ่ายวิศวกรรมโซลูชัน ทั่วโลก บริษัท กิกะมอน เผยว่า
ภัยคุกคามทางไซเบอร์เกิดการขยายตัวทั้งในด้านขนาดและความซับซ้อน
ซึ่งส่งผลให้อัตราการละเมิดข้อมูลพุ่งสูงขึ้นถึง 55% ในปีที่ผ่านมา
กล่าวคือเพิ่มขึ้นเฉลี่ยต่อปี
17% และการโจมตีที่สร้างขึ้นโดย AI ถือเป็นปัจจัยสำคัญที่ขับเคลื่อนให้เกิดการขยายตัวดังกล่าว
·
ความเสี่ยง
ที่ไม่อาจเลี่ยง
ข้อมูลระบุว่า
ทีมงานด้านความปลอดภัยและระบบไอทีกำลังถูกผลักให้ก้าวไปสู่จุดวิกฤติ
โดยข้อมูลจากสภาเศรษฐกิจโลกทำให้คาดว่า
ต้นทุนทางเศรษฐกิจของอาชญากรรมทางไซเบอร์ทั่วโลกมีมูลค่าสูงถึง 3 ล้านล้านดอลลาร์
เมื่อบรรดาอาชญากรสามารถใช้เทคโนโลยี
AI
ได้คล่องตัวยิ่งขึ้น ย่อมส่งผลให้องค์กรต่างๆ
ต้องพบกับปัญหาเรื่องเครื่องมือที่ขาดประสิทธิภาพและไร้ซึ่งประสิทธิผล
รวมถึงระบบคลาวด์ที่กระจัดกระจายไร้ทิศทางและขีดจำกัดด้านข่าวกรองที่สำคัญ
วันนี้บทบาทของ
AI
ได้เพิ่มความซับซ้อนของเครือข่ายและเร่งให้เกิดความเสี่ยงขึ้นอย่างมาก
ผลการศึกษาเผยให้เห็นว่า ผู้นำด้านความปลอดภัยและระบบไอที 46% กล่าวว่า
การจัดการภัยคุกคามที่เกิดจาก AI ถือเป็นลำดับความสำคัญด้านความปลอดภัยระดับสูงสุดในปัจจุบัน
หนึ่งในสามขององค์กรรายงานว่า
ปริมาณข้อมูลเครือข่ายเพิ่มขึ้นกว่าสองเท่าในช่วงสองปีที่ผ่านมา
อันเป็นผลมาจากปริมาณงานของ AI ขณะที่เกือบครึ่งหนึ่ง
(47% ) พบว่า การโจมตีที่มุ่งเป้าไปที่การปรับใช้โมเดลภาษาขนาดใหญ่ (LLM) ขององค์กรกำลังเพิ่มมากขึ้นด้วย
ผู้ตอบแบบสอบถามในสัดส่วนที่มากกว่าครึ่ง
(58%) ระบุว่า พวกเขาเห็นการเพิ่มขึ้นของแรนซัมแวร์ที่ขับเคลื่อนด้วย AI
ซึ่งเพิ่มขึ้นจาก 41% ในปี
2567 สิ่งนี้ตอกย้ำให้เห็นว่าอาชญากรกำลังใช้ประโยชน์จาก AI เพื่อแซงหน้าและโจมตีการป้องกันที่มีอยู่ในปัจจุบัน
·
กังวลความปลอดภัย
‘คลาวด์’
คริสติกล่าวว่า
ทีมงานด้านความปลอดภัยกำลังพยายามอย่างเต็มที่เพื่อให้ก้าวทันกับความเร็วในการนำ AI
มาใช้
รวมถึงความซับซ้อนและความเสี่ยงที่เพิ่มมากขึ้นของระบบคลาวด์สาธารณะ
นอกจากนี้
ยังคงได้เห็นถึงสถานการณ์ที่ต้องเลือกเรื่องความปลอดภัยและการจัดการโครงสร้างพื้นฐานระบบคลาวด์แบบไฮบริดโดยความท้าทายสำคัญที่ก่อให้เกิดความลังเลดังกล่าว
ได้แก่
การขาดข้อมูลที่ผ่านการกลั่นกรองมาเป็นอย่างดีและมีคุณภาพสูงเพื่อรองรับการปรับใช้เวิร์กโหลด
AI
ที่ปลอดภัย (46%)
รวมถึงการขาดข้อมูลเชิงลึกและการมองเห็นที่ครอบคลุมทั่วทั้งระบบ
ซึ่งครอบคลุมถึงการเคลื่อนที่แนวราบของอาชญากรหลังจากเจาะระบบได้สำเร็จ
ด้วยการขยายการโจมตีไปยังระบบอื่นๆ ภายในเครือข่ายเดียวกัน (East-West
traffic) (47%)
พบด้วยว่า
ความเสี่ยงของระบบคลาวด์สาธารณะกระตุ้นให้มีการปรับเปลี่ยนอุตสาหกรรมใหม่
ครั้งหนึ่งอาจเคยถูกมองว่าเป็นความเสี่ยงที่ยอมรับได้ในช่วงเวลาที่ต้องเร่งเดินหน้าภายหลังสถานการณ์โควิด
แต่ปัจจุบันระบบคลาวด์สาธารณะกำลังอยู่ภายใต้การตรวจสอบที่เข้มงวดมากขึ้นเรื่อยๆ
·
ต้องการ ‘เห็น’
ได้เรียลไทม์
บรรดาองค์กรต่างๆ
จำนวนมากกำลังพิจารณาทบทวนกลยุทธ์ด้านคลาวด์ของตน
เนื่องจากมีความเสี่ยงที่เพิ่มมากขึ้น
ทั้งยังส่งผลให้มีหลายองค์กรกำลังพิจารณาย้ายข้อมูลจากระบบคลาวด์สาธารณะไปยังระบบคลาวด์ส่วนตัวอย่างจริงจัง
อันเป็นผลมาจากความกังวลด้านความปลอดภัย และ 54% ลังเลที่จะใช้ AI
ในระบบคลาวด์สาธารณะ
รวมถึงความกังวลเรื่องการคุ้มครองทรัพย์สินทางปัญญา
ปัจจุบัน
องค์กรต่างๆ กำลังเปลี่ยนลำดับความสำคัญไปที่การมองเห็นระบบของตนได้อย่างครอบคลุม
ซึ่งความสามารถนี้ถือเป็นสิ่งสำคัญสำหรับการตรวจจับและการตอบสนองต่อภัยคุกคามอย่างมีประสิทธิภาพ
โดยจะเห็นได้ว่า ผู้ตอบแบบสอบถามมากกว่าครึ่ง(55%) ขาดความเชื่อมั่นเกี่ยวกับความสามารถของเครื่องมือปัจจุบันในการตรวจจับการละเมิด
โดยระบุว่า
การมองเห็นได้อย่างจำกัดถือเป็นปัญหาหลักอย่างแท้จริง สิ่งนี้ได้ส่งผลให้ 64%
ระบุว่าเป้าหมายอันดับหนึ่งของพวกเขาในอีก 12 เดือนข้างหน้า
คือการตรวจสอบภัยคุกคามแบบเรียลไทม์และสามารถมองเห็นข้อมูลทั้งหมดที่กำลังเคลื่อนไหวอยู่
ที่มา
:
กรุงเทพธุรกิจ
วันที่
21 สิงหาคม 2568