การ์ทเนอร์
อิงค์ (Gartner Inc.) เปิด 10 เทรนด์เทคโนโลยีมาแรงที่องค์กรธุรกิจต้องจับตาและศึกษา
เพื่อรับมือกับการเปลี่ยนแปลงในปี 2566
วันที่
15 ธันวาคม 2565 ฟราสซิส คารามูซิส
รองประธานฝ่ายวิจัยการ์ทเนอร์ กล่าวว่า
“เพื่อยกระดับสถานะทางการเงินในช่วงเศรษฐกิจผันผวนขององค์กร
ผู้บริหารและผู้นำด้านไอทีทั้งหลายต้องมองการณ์ไกลกว่าแค่การประหยัดต้นทุนไปสู่รูปแบบการดำเนินงานที่มีประสิทธิภาพใหม่
ๆ ขณะเดียวกันก็ต้องเร่งการทำดิจิทัล ทรานส์ฟอร์มเมชันอย่างต่อเนื่อง
โดยแนวโน้มเทคโนโลยีเชิงกลยุทธ์ที่มาแรงในปี 2566
จะพัฒนาขึ้นมาจากสามธีมหลัก ได้แก่ การเพิ่มประสิทธิภาพ (Optimize) การปรับขยาย (Scale) และการเป็นผู้ริเริ่ม (Pioneer)
ที่เทคโนโลยีสามารถช่วยองค์กรธุรกิจเพิ่มประสิทธิภาพความยืดหยุ่นในการดำเนินงานหรือสร้างความเชื่อมั่น
พร้อมปรับขยายโซลูชันและส่งมอบผลิตภัณฑ์ที่มีความเฉพาะ
และริเริ่มรูปแบบการมีส่วนร่วม การตอบสนองใหม่ ๆ ที่รวดเร็ว
หรือสร้างโอกาสให้ธุรกิจได้”
เดวิด
กรูมบริดจ์ นักวิจัยอาวุโสของการ์ทเนอร์ กล่าวว่า “อย่างไรก็ตามในปีหน้านี้
การส่งมอบเทคโนโลยีจะไม่เพียงพออีกต่อไป
เนื่องด้วยธีมเหล่านี้ต่างได้รับผลกระทบจากความคาดหวังและกฎระเบียบด้านสิ่งแวดล้อม
สังคม และธรรมาภิบาล (หรือ ESG) ซึ่งหมายถึงความรับผิดชอบร่วมกันในการใช้เทคโนโลยีอย่างยั่งยืน
ในทุกการลงทุนทางเทคโนโลยีจะต้องไม่ส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม
และต้องคำนึงถึงคนรุ่นต่อ ๆ ไปในอนาคต “Sustainable by Default หรือความยั่งยืนเป็นพื้นฐาน” เป็นเป้าหมายในการนำเทคโนโลยียั่งยืนมาใช้”
10
แนวโน้มเทคโนโลยีเชิงกลยุทธ์ที่มาแรงในปี 2566 มีดังนี้
ความยั่งยืน (Sustainability)
ความยั่งยืนครอบคลุมเทรนด์เทคโนโลยีเชิงกลยุทธ์ทั้งหมดในปี
2566 จากการสำรวจของการ์ทเนอร์ เมื่อเร็ว ๆ นี้
ชี้ให้เห็นว่าผู้บริหารไอทีมองว่าการเปลี่ยนแปลงด้านสิ่งแวดล้อมและสังคมในขณะนี้มีความสำคัญสูงสุดติดสามอันดับแรกสำหรับนักลงทุน
รองจากเรื่องของผลกำไรและรายได้
นั่นหมายความว่าผู้บริหารต้องลงทุนมากขึ้นกับนวัตกรรมโซลูชันที่ได้รับการออกแบบมาสำหรับตอบโจทย์ความต้องการด้าน
ESG และเพื่อให้บรรลุเป้าหมายด้านความยั่งยืน
ซึ่งองค์กรธุรกิจจำเป็นต้องมีกรอบการทำงานด้านเทคโนโลยีที่ยั่งยืนใหม่
ที่เพิ่มประสิทธิภาพด้านพลังงานและวัสดุอุปกรณ์ของบริการไอที
ที่จะช่วยทำให้องค์กรมีความยั่งยืนผ่านเทคโนโลยีต่าง ๆ อาทิ
ความสามารถในการตรวจสอบแบบย้อนกลับ การวิเคราะห์ พลังงานหมุนเวียน เทคโนโลยีเอไอ
และปรับใช้โซลูชันไอทีเพื่อช่วยให้ลูกค้าบรรลุเป้าหมายด้านความยั่งยืนตามที่วางแผนไว้
ธีมที่ 1 การริเริ่ม (Pioneer)
เมตาเวิร์ส (Metaverse)
การ์ทเนอร์กำหนดให้
Metaverse
เป็นพื้นที่จำลอง 3 มิติเสมือนจริง
ที่เปิดโอกาสให้ผู้คนมาใช้งานร่วมกัน
สร้างขึ้นจากการผสานรวมโลกความเป็นจริงทางกายภาพและดิจิทัลไว้ด้วยกัน ซึ่ง Metaverse
จะเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องและมอบประสบการณ์ที่สมจริงยิ่งขึ้น
การ์ทเนอร์คาดว่า Metaverse ที่สมบูรณ์ไม่ได้ขึ้นกับอุปกรณ์และจะไม่มีใครเป็นผู้จำหน่ายหรือเจ้าของแต่ผู้เดียว
แต่จะมีระบบเศรษฐกิจเสมือนของตัวเอง
โดยใช้สกุลเงินดิจิทัลและโทเค็นที่ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้ (NFTs) ภายในปี 2570 การ์ทเนอร์คาดการณ์ว่ามากกว่า 40% ขององค์กรขนาดใหญ่ทั่วโลกจะใช้เทคโนโลยีผสมผสานกัน เช่น Web3, AR
Cloud และ Digital Twins ในโครงการใด ๆ บน Metaverse
โดยมีเป้าหมายเพื่อเพิ่มรายได้
ซูเปอร์แอป (Superapps)
ซูเปอร์แอปรวมคุณสมบัติของแอป
แพลตฟอร์ม และระบบนิเวศไว้ในแอปพลิเคชันเดียว นอกจากมีฟังก์ชันต่าง ๆ
ครบครันในแอปแล้ว
ยังเป็นแพลตฟอร์มที่เปิดโอกาสให้กับบุคคลอื่นได้สร้างสรรค์พัฒนาและเปิดตัวมินิแอป
ภายในปี 2570 การ์ทเนอร์คาดการณ์ว่าในแต่ละวันประชากรโลกมากกว่า 50% จะใช้ซูเปอร์แอปหลายตัว
“แม้ตัวอย่างส่วนใหญ่ของ Superapps จะเป็นแอปในมือถือ
แต่แนวคิดนี้ยังสามารถนำไปใช้กับแอปพลิเคชันของลูกค้าบนเดสก์ท็อป อาทิ Microsoft
Teams และ Slack ด้วยปัจจัยสำคัญก็คือ Superapp
สามารถรวมและแทนที่แอปหลากหลายเพื่อให้ลูกค้าหรือพนักงานได้ใช้งาน”
คารามูซิส กล่าว
AI ที่ปรับเปลี่ยนได้ (Adaptive
AI)
ระบบ
AI
ที่ปรับเปลี่ยนได้
มีเป้าหมายเพื่อพัฒนาโมเดลขึ้นใหม่อย่างต่อเนื่องและเรียนรู้ภายในช่วงเวลาการทำหรือใช้งานและอยู่ในสภาพแวดล้อมของการพัฒนา
โดยอาศัยฐานข้อมูลใหม่เพื่อปรับระบบให้เข้ากับการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วตามสถานการณ์จริงที่ไม่ได้คาดการณ์ไว้หรือที่ไม่ได้เตรียมไว้ในระหว่างการพัฒนาครั้งแรก
ซึ่งตอบโจทย์การให้ฟีดแบคแบบเรียลไทม์
สามารถปรับเปลี่ยนการเรียนรู้ได้แบบไดนามิกและตรงตามเป้าหมาย
ทำให้เหมาะสมสำหรับการดำเนินงานที่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วในสภาพแวดล้อมภายนอกหรือการเปลี่ยนแปลงเป้าหมายขององค์กรที่ต้องการการตอบสนองอย่างมีประสิทธิภาพที่สุด
ธีมที่ 2 การเพิ่มประสิทธิภาพ (Optimize)
ระบบภูมิคุ้มกันดิจิทัล (Digital
Immune System)
76%
ของทีมที่รับผิดชอบผลิตภัณฑ์ดิจิทัลในเวลานี้มีหน้าที่สร้างรายได้ให้ธุรกิจด้วยเช่นกัน
ผู้บริหารไอทีกำลังมองหาแนวทางปฏิบัติและวิธีการใหม่ ๆ
ที่สามารถให้ทีมงานนำมาปรับใช้เพื่อส่งมอบคุณค่าทางธุรกิจที่เพิ่มขึ้นได้
พร้อมลดความเสี่ยงและเพิ่มความพึงพอใจแก่ลูกค้า
โดยมีระบบภูมิคุ้มกันดิจิทัลอยู่ในแผนงานดังกล่าว
ภูมิคุ้มกันดิจิทัลรวบรวมข้อมูลเชิงลึกเพื่อขับเคลื่อนการดำเนินงาน
การทดสอบอัตโนมัติและการทดสอบในสภาวะสุดขั้ว การแก้ปัญหาอัตโนมัติ
วิศวกรรมซอฟต์แวร์ภายในการดำเนินงานด้านไอที
และการรักษาความปลอดภัยในห่วงโซ่อุปทานของแอปพลิเคชัน
เพื่อเพิ่มความยืดหยุ่นและความเสถียรให้แก่ระบบ การ์ทเนอร์คาดการณ์ว่าภายในปี 2568 องค์กรที่ลงทุนในการสร้างภูมิคุ้มกันดิจิทัลจะลดการหยุดทำงานของระบบได้มากถึง
80% และนั่นคือการแปลงเป็นรายได้กลับมาสู่องค์กรได้สูงขึ้น
การสังเกตประยุกต์
(Applied
Observability)
ข้อมูลการสังเกต
(Observable
Data) ได้สะท้อนถึงสิ่งประดิษฐ์ดิจิทัล เช่น บันทึก การติดตาม
การเรียก API เวลาที่ใช้ไป การดาวน์โหลดและการถ่ายโอนไฟล์
ที่จะปรากฏขึ้นเมื่อผู้มีส่วนได้ส่วนเสียดำเนินการใด ๆ
ความสามารถในการสังเกตประยุกต์ใช้ดึงข้อมูลสิ่งประดิษฐ์ที่สังเกตได้เหล่านี้กลับมาในแนวทางที่มีการประสานและบูรณาการอย่างสูงเพื่อเร่งการตัดสินใจขององค์กรธุรกิจ
คารามูซิส
กล่าวว่า
"การสังเกตประยุกต์ช่วยให้องค์กรสามารถใช้ประโยชน์จากข้อมูลสิ่งประดิษฐ์ของตนเพื่อสร้างความได้เปรียบในการแข่งขัน
ซึ่งมีประสิทธิภาพมาก
เพราะช่วยยกระดับความสำคัญเชิงกลยุทธ์ของข้อมูลที่ถูกต้องในเวลาที่เหมาะสม
สำหรับดำเนินการอย่างรวดเร็วตามการกระทำของผู้มีส่วนได้ส่วนเสียที่ได้รับการยืนยันมากกว่าความตั้งใจ
เมื่อวางแผนอย่างมีกลยุทธ์และดำเนินการได้สำเร็จ
ความสามารถในการสังเกตที่นำไปใช้จะเป็นแหล่งข้อมูลที่ทรงพลังที่สุดในการตัดสินใจสำหรับขับเคลื่อนธุรกิจด้วยข้อมูล”
AI
Trust การจัดการความเสี่ยงและความปลอดภัย (AI Trust, Risk
and Security Management)
หลาย
ๆ องค์กรยังเตรียมการได้ไม่ดีพอในการจัดการความเสี่ยงด้าน AI
จากการสำรวจของการ์ทเนอร์ในประเทศสหรัฐอเมริกา สหราชอาณาจักร
และเยอรมนี พบว่า 41%
ขององค์กรต่างประสบปัญหาการละเมิดความเป็นส่วนตัวหรือมีเหตุการณ์ด้านความปลอดภัยที่เกิดจาก
AI อย่างไรก็ตาม
จากการสำรวจเดียวกันนี้ยังพบว่าองค์กรที่จัดการความเสี่ยง ความเป็นส่วนตัว
และความปลอดภัย AI อย่างจริงจังนั้น
ได้ผลลัพธ์ที่ดีขึ้นกับโครงการ AI โดยส่วนใหญ่เปลี่ยนสถานะจากไอเดียที่ได้รับการพิสูจน์แล้ว
(Proof of Concept) ไปสู่การผลิตและสร้างมูลค่าทางธุรกิจได้มากกว่าโครงการ
AI ในองค์กรที่ไม่ได้จัดการฟังก์ชันเหล่านี้อย่างจริง ๆ จัง
ๆ
องค์กรต้องนำความสามารถใหม่
ๆ มาใช้ เพื่อให้แน่ใจว่าแบบจำลองมีความเสถียร เชื่อถือได้
มีความปลอดภัยและการปกป้องข้อมูล โดย AI Trust การจัดการความเสี่ยงและความปลอดภัย (หรือ TRiSM) กำหนดให้ผู้เข้าร่วมจากแผนกต่าง
ๆ ในองค์กรสามารถทำงานร่วมกันได้เพื่อนำมาตรการใหม่นี้มาปรับใช้
ธีมที่ 3 การปรับขยาย (Scale)
แพลตฟอร์มคลาวด์สำหรับภาคอุตสาหกรรม (Industry
Cloud Platforms)
แพลตฟอร์มคลาวด์ของภาคอุตสาหกรรมนำเสนอบริการ
SaaS
แพลตฟอร์มเป็นบริการ (หรือ PaaS) และโครงสร้างพื้นฐานเป็นบริการ
(IaaS) อย่างผสมผสาน
ด้วยชุดการทำงานแบบแยกส่วนเฉพาะอุตสาหกรรมเพื่อรองรับการใช้งานของภาคอุตสาหกรรมโดยเฉพาะ
องค์กรต่าง ๆ สามารถใช้ความสามารถที่บรรจุไว้ของแพลตฟอร์มคลาวด์สำหรับภาคอุตสาหกรรมเป็นส่วนประกอบในการสร้างสรรค์ไอเดียทางธุรกิจดิจิทัลที่ไม่เหมือนใครและแตกต่างได้
พร้อมยังมีความคล่องตัว มีนวัตกรรมล้ำสมัย และลดระยะเวลาการนำออกสู่ตลาด
โดยไม่ต้องล็อคอินเพื่อเปิดใช้งาน
ภายในปี
2570 การ์ทเนอร์คาดการณ์ว่าองค์กรมากกว่า 50%
จะใช้แพลตฟอร์มคลาวด์สำหรับภาคอุตสาหกรรมเพื่อเร่งการดำเนินโครงการใหม่ ๆ
ของธุรกิจ
แพลตฟอร์มวิศวกรรม (Platform
Engineering)
แพลตฟอร์มวิศวกรรมเป็นแนวทางการสร้างและปฏิบัติงานบนแพลตฟอร์มภายในของนักพัฒนาแบบทำได้ด้วยตนเอง
เพื่อการส่งมอบซอฟต์แวร์และจัดการกระบวนการพัฒนาได้อย่างครบวงจร
โดยเป้าหมายของแพลตฟอร์มวิศวกรรม คือ
การเพิ่มประสิทธิภาพด้านประสบการณ์ของนักพัฒนาและเร่งการส่งมอบคุณค่าแก่ลูกค้าของทีมพัฒนาผลิตภัณฑ์
การ์ทเนอร์คาดการณ์ว่า
80% ขององค์กรด้านวิศวกรรมซอฟต์แวร์จะจัดตั้งทีมดูแลแพลตฟอร์มภายในปี 2569 และ 75% จะรวมพอร์ทัลการใช้งานด้วยตนเองสำหรับนักพัฒนา
การรับรู้ถึงคุณค่าของระบบไร้สาย (Wireless
Value Realization)
แม้ว่าจะไม่มีเทคโนโลยีใดเข้ามาครอบครองตลาด
แต่องค์กรธุรกิจต่าง ๆ จะใช้โซลูชันไร้สายที่หลากหลายเพื่อรองรับกับทุกสภาพแวดล้อม
ตั้งแต่ Wi-Fi
ในสำนักงาน ผ่านบริการในอุปกรณ์พกพา ไปจนถึงบริการที่ใช้พลังงานต่ำ
และแม้กระทั่งการเชื่อมต่อวิทยุ การ์ทเนอร์คาดการณ์ว่าภายในปี 2568 60% ขององค์กรจะใช้เทคโนโลยีไร้สาย 5 อย่างขึ้นไปพร้อม
ๆ กัน
เมื่อเครือข่ายพัฒนาก้าวหน้าไปไกลมากกว่าแค่การเชื่อมต่อ
เครือข่ายจะนำเสนอข้อมูลเชิงลึกโดยใช้การวิเคราะห์ในตัวและระบบที่ใช้พลังงานต่ำจะสะสมพลังงานไว้ได้โดยตรงจากเครือข่าย
นั่นหมายความว่าเครือข่ายจะกลายเป็นแหล่งที่มาของมูลค่าทางธุรกิจโดยตรง
เทรนด์เทคโนโลยีเชิงกลยุทธ์มาแรงที่เปิดเผยล่าสุดในปีนี้นั้นตอกย้ำให้เห็นแนวโน้มเทคโนโลยีที่ผลักดันให้เกิดการหยุดชะงักและสร้างโอกาสสำคัญให้ธุรกิจไปอีก
5-10
ปีข้างหน้า
ที่มา : Mreport
วันที่ 16 ธันวาคม 2565