เพราะสังคมปัจจุบันเปลี่ยนแปลงไปมากพอสมควร
ทำให้ “ศาสนา” ก็ต้องปรับตัวตามเช่นกัน หนึ่งในนั้นคือการใช้ “พระ AI”
มาเป็นตัวช่วยเผยแผ่ศาสนา หวังดึงดูดคนให้สนใจศึกษาคำสอนมากขึ้น
Key
Points:
ปัจจุบันสังคมมีความเปลี่ยนแปลงไปจากเดิมมากขึ้น
โดยเฉพาะการเข้ามามีบทบาทของ “เทคโนโลยี”
เพื่อช่วยเพิ่มความสะดวกสบายในการใช้ชีวิตประจำวันของมนุษย์
เมื่อเกิดการเปลี่ยนแปลง
หลายอย่างในสังคมก็ต้องปรับตัวตาม ซึ่ง “ศาสนา” เองก็เป็นหนึ่งในนั้น
ทำให้มีการนำพระ AI มาช่วยเผยแผ่คำสอน
หวังช่วยให้ผู้คนสนใจศาสนามากขึ้น
แม้ว่า
“พระ AI”
จะดึงดูดผู้คนได้มากพอสมควร แต่ก็ยังมีคำถามตามมาว่า
แล้วคำสอนเหล่านั้นจะเชื่อถือได้มากน้อยแค่ไหน และมีความแตกต่างกับ “พระสงฆ์”
อย่างไร
การเผยแผ่คำสอนของพระพุทธศาสนา
ถือเป็นหัวใจสำคัญที่ทำให้ผู้คนทั่วไปสามารถเข้าใจหลักธรรมคำสอนและแก่นแท้ของศาสนาพุทธมากขึ้น
แต่เนื่องจากปัจจุบันเมื่อโลกเปลี่ยนไป “ศาสนา”
ก็ต้องปรับตัวตามยุคสมัยเพื่อให้ตอบโจทย์คนยุคใหม่เช่นกัน
สิ่งหนึ่งที่เข้ามามีอิทธิพลต่อการใช้ชีวิตของคนยุคนี้ย่อมหนีไม่พ้น
“เทคโนโลยี” ที่มีความก้าวหน้ามากขึ้นเรื่อยๆ ทำให้ “ญี่ปุ่น”
เล็งเห็นว่านี่เป็นจุดที่สามารถเชื่อมโยงให้ “ศาสนาพุทธ” มีความทันสมัยมากขึ้นได้
จึงเกิดเป็นไอเดีย “หุ่นยนต์พระ” หรือ “พระ AI” ขึ้นมาเพื่อช่วยเผยแผ่ศาสนาอีกทาง
แต่ก็มีเสียงสะท้อนว่า คำสอนที่มาจากหุ่นยนต์นั้นเชื่อถือได้มากน้อยแค่ไหน ?
เมื่อผู้เผยแผ่ศาสนา
มาในรูปแบบ “AI”
คันนง
(Kannon)
หรือเป็นที่รู้จักในชื่อ คันจิไซ โบซัตสึ (Kanjizai Bosatsu)
เป็นปัญญาประดิษฐ์อยู่ที่วัดโคไดจิ เมืองเกียวโต ประเทศญี่ปุ่น
สร้างขึ้นเพื่อเผยแผ่คำสอนของศาสนาพุทธ มาจากแนวคิดที่เกิดขึ้นตั้งแต่ปี 2017 โดย เทนโช โกโตะ (Tensho Goto) อดีตหัวหน้าผู้ดูแลวัดได้พูดคุยกับ
ฮิโรชิ อิชิงูโระ (Hiroshi Ishiguro) อาจารย์ด้านวิทยาศาสตร์จากมหาวิทยาลัยโอซากา
โดยเทนโชบอกว่าอยากให้สร้างพระพุทธรูปในรูปแบบหุ่นยนต์
ซึ่งฮิโรชิก็ให้ความสนใจ และพัฒนาจนสำเร็จ หลังจากนั้นก็นำมาใช้งานจริงในปี 2019
นอกจากนี้เทนโชยังให้เหตุผลว่า
เขาเชื่อว่าพระพุทธศาสนาควรได้รับการเผยแผ่ในรูปแบบที่ทันสมัยมากขึ้น
และคนทั่วไปสามารถเข้าถึงได้ง่าย
“เทคโนโลยีเปลี่ยนไปเรื่อยๆ ตั้งแต่การพิมพ์ อินเทอร์เน็ต และ AI ถึงเวลาแล้วที่พระพุทธรูปจะพูดและมองตาผู้คนได้”
เทนโชอธิบายแนวคิดของเขาเพิ่มเติม
ข้อมูลจากสื่อญี่ปุ่น
The
Asahi Shimbun (8 เม.ย. 2023) ระบุว่า คันนง
เป็นหุ่นยนต์ที่มีความสูง 195 เซนติเมตรและหนัก 60 กิโลกรัม มีใบหน้า ไหล่ และมือทำจากซิลิโคนที่ดูเหมือนผิวหนังของมนุษย์
แต่ในส่วนอื่นๆ ของร่างกายยังคงเป็นโลหะ
ซึ่งคันนงจะใช้เวลาอธิบายหลักคำสอนของศาสนาพุทธเป็นเวลา 25
นาที
เอชิน
มาสึดะ (Eishin
Masuda) ผู้ที่ทำงานในสำนักพุทธศาสนานิกายโจโด เล่าว่า
ในช่วงแรกเขามองว่าความคิดนี้ไม่น่าจะเป็นไปได้
“หุ่นยนต์นี้สอนบทเรียนมาตรฐานของศาสนาพุทธได้ แม้ว่าจะมีรูปลักษณ์แปลกตา”
เอชินกล่าว
นอกจากนี้เขายังมองว่าแนวคิดนี้น่าสนใจเพราะวัดสามารถเข้าถึงผู้คนได้ง่ายขึ้น
แม้กระทั่งคนที่ไม่เคยอยากศึกษาพุทธศาสนามาก่อนเลยก็ตาม
หลังจากเริ่มต้นใช้งาน
“พระ AI”
ก็มีคนสนใจเข้ามาฟังคำสอนกันมากขึ้น
ส่วนหนึ่งเป็นเพราะต้องการสัมผัสกับวิทยาการใหม่ๆ
“ฉันพบว่าตัวเองยังมีหนทางอีกยาวไกลในการก้าวไปสู่ความเป็นผู้ใหญ่ทางจิตใจในบางเรื่อง”
อากิโอะ โอยางิ (Akio Oyagi) พนักงานบริษัทเล่าว่าบทเรียนจากพระ
AI ทำให้มองเห็นวิธีการแก้ปัญหาของตัวเองได้ดีขึ้น
มิยูกิ
ซากางูจิ (Miyuki Sakaguchi) วัย 63 ปี ผู้อยู่อาศัยกับแม่ของสามีที่มีอายุ 98 ปี
กล่าวว่า การดูแลแม่ของสามีนั้นถือเป็นงานที่ท้าทายสำหรับเธอ แต่คำสอนของพระ AI
ก็ให้คำแนะนำในการดำเนินชีวิตได้เป็นอย่างดี
“ฉันรับมือกับตัวเองได้ทั้งตอนที่ฉันพยายามดูแลเธออย่างเต็มที่และตอนที่ฉันทำไม่ได้” มิยูกิกล่าว
ภาพจาก
ABC
News
แม้ว่า
“พระ AI”
เป็นการนำเทคโนโลยีเข้ามาประยุกต์กับศาสนาเพื่อให้เท่าทันกระแสของโลกยุคใหม่
แต่ก็ต้องไม่ลืมว่า “AI” ไม่ใช่คนจริงๆ
(หรือจะเรียกว่าไม่ใช่พระจริงๆ ก็ได้) ดังนั้นต้องมีคำถามและข้อกังขาในเรื่องของ
“คำสอน” ที่ตามมาอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
คำสอบแบบฉบับ
AI
เชื่อถือได้มากน้อยแค่ไหน ?
ข้อมูลจาก
Science
Times ระบุว่าแม้ “พระ AI” จะมีข้อดีที่หลากหลาย
แต่ผู้คนบางส่วนก็อดสงสัยไม่ได้ว่าคำสอนเหล่านั้นเชื่อถือได้หรือไม่ และพระ AI
จะทำหน้าที่เผยแผ่ศาสนาได้เหมือน หรือแตกต่างจาก “พระสงฆ์”
เนื่องจากก่อนหน้านี้ AI ถูกนำมาใช้แทนที่ “พนักงาน”
มากขึ้นจนก่อให้เกิดความไม่มั่นคงในอุตสาหกรรมต่างๆ
จากข้อสงสัยในประเด็นดังกล่าวรวมถึงการที่คนบางส่วนในสังคมมองว่าการทำให้คำสอนขาดความว่าเชื่อถือ
อาจส่งผลกระทบต่อองค์กรศาสนาที่ใช้ “พระ AI” ทำให้
โจชัว คอนราด แจ็กสัน (Joshua Conrad Jackson) อาจารย์ด้านพฤติกรรมศาสตร์
มหาวิทยาลัยชิคาโก ร่วมมือกับวัดโคไดจิและสถานที่ทางศาสนาอื่นๆ โดยให้ พระ AI
แสดงเทคนิคพิเศษขณะปฏิบัติหน้าที่ทางศาสนา
ซึ่งก็ทำออกมาได้ค่อนข้างดี เช่น
ลำตัวและมือสามารถเลียนแบบปฏิสัมพันธ์เหมือนมนุษย์ได้ รวมถึงการฉายภาพ 3 มิติบนผนัง
หลังจากการศึกษาก็พบว่า
ผู้คนมองเห็น “คันนง” เป็นบุคคลากรทางศาสนาที่ค่อนข้างน่าเชื่อถือ แต่ก็น้อยกว่า
“พระสงฆ์” ที่เป็นมนุษย์และปฏิบัติกิจของสงฆ์อยู่ที่วัดจริงๆ
นอกจากนี้ผลการวิจัยยังพบว่าผู้ที่เข้าพบ “พระ AI” มีโอกาสบริจาคเงินให้วัดน้อยกว่าผู้ที่มาเพื่อเจอกับพระสงฆ์ถึงร้อยละ 12
ท้ายที่สุดนี้แม้ว่า
“พระ AI”
จะเป็นจุดขายสำคัญของวัดโคไดจิ
เพราะทำให้คนรุ่นใหม่และคนต่างศาสนาให้ความสนใจเข้ามาเยี่ยมชมและรับฟังคำสอน
แต่ก็ต้องไม่ลืมว่าในบางครั้ง “เทคโนโลยี” ก็อาจจะไม่มีความละเอียดอ่อนเท่ากับ
“มนุษย์” ดังนั้นก็ต้องรอดูกันต่อไปว่าสุดท้ายแล้วความพยายามที่จะทำให้ “ศาสนา”
อยู่รอดได้ในสังคมสมัยใหม่ด้วยการช่วยเหลือจาก “AI” จะเป็นอย่างไร
ที่มา : กรุงเทพธุรกิจ
วันที่ 9 มกราคม 2567