ผลการสำรวจ “2024
Manufacturing Vision Study” โดย ซีบร้า เทคโนโลยีส์ คอร์ปอเรชั่น
ผู้ให้บริการโซลูชันดิจิทัลชั้นนำ เผยว่า 61%
ของผู้ผลิตทั่วโลกคาดหวังว่าปัญญาประดิษฐ์ (AI) จะผลักดันการเติบโตของธุรกิจมากขึ้นภายในปี
2572 โดยเพิ่มขึ้นจาก 41% ในปี 2567
เมื่อมองลึกลงมาในระดับภูมิภาค
68% ของผู้ผลิตในเอเชีย-แปซิฟิกคาดหวังว่า AI จะผลักดันการเติบโตของธุรกิจมากขึ้นภายในปี
2572 เพิ่มขึ้นจาก 46% ในปี 2567
โดยภาพรวม 92%
ของผู้ตอบแบบสำรวจทั่วโลก และ 87%
ในเอเชีย-แปซิฟิกต่างให้ความสำคัญกับการพัฒนาธุรกิจด้วยเทคโนโลยีดิจิทัล (digital
transformation) มากที่สุด
ตอกย้ำให้เห็นถึงความตั้งใจของผู้ผลิตที่จะปรับปรุงการจัดการข้อมูล
และใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีใหม่ๆ ที่เพิ่มทัศนวิสัยในซัพพลายเชน (visibility)
คุณภาพ ตลอดจนกระบวนการผลิต
AI เปิดทางความสำเร็จ
แม้ว่าดิจิทัลทรานส์ฟอร์เมชันจะเป็นสิ่งสำคัญที่สุดสำหรับผู้ผลิต
แต่ 30% ของผู้ตอบแบบสำรวจทั่วโลก และ 40%
ในเอเชีย-แปซิฟิกทราบดีว่าเส้นทางสู่ดิจิทัลทรานส์ฟอร์เมชันนั้นเต็มไปด้วยอุปสรรค
เช่น ต้นทุนแรงงาน
จำนวนแรงงานที่ใช้งานได้ การนำโซลูชันเทคโนโลยีมาปรับใช้
และการรวมเทคโนโลยีสารสนเทศเข้ากับเทคโนโลยีด้านการดำเนินงาน (IT/OT
convergence)
Visibility เป็นก้าวแรกสู่การเปลี่ยนแปลง
โดยการนำ AI และเทคโนโลยีใหม่ๆ มาปรับใช้
ซึ่งจะช่วยให้ผู้ผลิตสามารถใช้ประโยชน์จากข้อมูลเพื่อระบุ ตอบสนองต่อ
และจัดลำดับความสำคัญของปัญหา และโครงการได้ดียิ่งขึ้น
เป็นการเพิ่มประสิทธิภาพตลอดกระบวนการผลิต เพื่อที่ผลลัพธ์จะได้ออกมาดีที่สุด
ศิวัจน์ โรจนเต็มศักดิ์
ผู้จัดการประจำประเทศไทยซีบร้า เทคโนโลยีส์ กล่าวว่า
ผู้ผลิตหลายรายกำลังเผชิญกับปัญหาในการใช้ข้อมูลของตัวเองให้เกิดประโยชน์สูงสุด
ซึ่งพวกเขาทราบดีว่าต้องนำ AI และโซลูชันเทคโนโลยีดิจิทัลต่างๆ
มาปรับใช้ เพื่อเพิ่มความรวดเร็ว และประสิทธิภาพในกระบวนการผลิต
โดยมีประเด็นที่ต้องให้ความสำคัญประกอบด้วย
ปิดช่องว่าง ‘ซัพพลายเชน’
ปิดช่องว่างทางทัศนวิสัยในซัพพลายเชน
: ถึงแม้ว่าผู้ผลิตส่วนมากบอกว่าดิจิทัลทรานส์ฟอร์เมชันเป็นเรื่องสำคัญ
แต่การทำให้การทำงานในโรงงานเชื่อมโยงกันอย่างสมบูรณ์นั้นยังคงเป็นเรื่องที่ท้าทาย
ดังนั้น Visibility ถือเป็นกุญแจสำคัญในการเพิ่มประสิทธิภาพ และคุณภาพในกระบวนการผลิต
อย่างไรก็ดี
ปัญหาช่องว่างทางทัศนวิสัยในซัพพลายเชน (visibility gap) ก็ยังคงมีอยู่ มีเพียง 16%
ของผู้นำด้านการผลิตทั่วโลกที่สามารถติดตามการดำเนินงานตลอดกระบวนการผลิตแบบเรียลไทม์ได้
ส่วนในเอเชีย-แปซิฟิกมี 25% ของผู้นำด้านการผลิตที่ทำได้
ผู้นำด้านการผลิตเกือบ
6 ใน 10 (57% ทั่วโลก, 63% ในเอเชีย-แปซิฟิก)
คาดว่าจะสามารถเพิ่ม visibility ในทุกขั้นตอนการผลิต
และในซัพพลายเชนได้ภายในปี 2572 แต่ประมาณ 1 ใน 3 (33% ทั่วโลก, 38% ในเอเชีย-แปซิฟิก) บอกว่าความไม่ลงรอยกันระหว่าง IT และ OT เป็นอุปสรรคที่สำคัญในเส้นทางสู่ดิจิทัลทรานส์ฟอร์เมชัน
นอกจากนี้ 86%
ของผู้นำการผลิตทั่วโลกยอมรับว่ากำลังเผชิญปัญหาในการตามนวัตกรรมทางเทคโนโลยีใหม่ๆ
ให้ทัน รวมไปถึงการนำอุปกรณ์ เซ็นเซอร์
และเทคโนโลยีรวมเข้ากับโรงงาน/สำนักงานและซัพพลายเชน ซึ่ง 82%
ของผู้นำด้านการผลิตในเอเชีย-แปซิฟิกก็กำลังเผชิญปัญหาเดียวกัน
เสริมทักษะ ‘แรงงาน’
เสริมทักษะแรงงาน
พร้อมยกระดับคุณค่า และประสิทธิภาพ : ผลการสำรวจของซีบร้าเผยให้เห็นว่า
ผู้ผลิตกำลังปรับกลยุทธ์สำหรับการเติบโต ด้วยการนำ AI และเทคโนโลยีอื่นๆ มาปรับใช้ เพื่อปรับโฉมการผลิต
พร้อมสร้างเสริมทักษะของแรงงานภายใน 5 ปี ข้างหน้า
ข้อมูลระบุว่า เกือบ 3
ใน 4 (73%)
ของผู้นำด้านการผลิตทั่วโลกวางแผนที่จะฝึกแรงงานใหม่ให้มีทักษะด้านการใช้ข้อมูลและเทคโนโลยีที่ดีขึ้น
ขณะที่ 7 ใน 10
คาดว่าจะนำเทคโนโลยีที่เน้นความคล้องตัวในการใช้งานเป็นหลักมาช่วยพัฒนาแรงงาน
ส่วนในเอเชีย-แปซิฟิกมี 76% ของผู้นำด้านการผลิตที่วางแผน และคาดการณ์เช่นเดียวกัน
สำหรับ
เครื่องมือทางเทคโนโลยีที่ผู้นำด้านการผลิตทั่วโลกกำลังปรับใช้ มีทั้งแท็บเล็ต
(51% ทั่วโลก, 52% ในเอเชีย-แปซิฟิก), คอมพิวเตอร์พกพา (55% ทั่วโลก, 53%
ในเอเชีย-แปซิฟิก) และซอฟต์แวร์สำหรับจัดการแรงงาน (56% ทั่วโลก, 62% ในเอเชีย-แปซิฟิก)
นอกจากนี้ 6 ใน 10
ของผู้นำการผลิต (61% ทั่วโลก, 65%
ในเอเชีย-แปซิฟิก)
ก็วางแผนที่จะนำคอมพิวเตอร์พกพาแบบสวมได้มาใช้เสริมประสิทธิภาพการทำงานของแรงงานด้วย
ผู้นำด้านการผลิตที่เป็นผู้บริหารระดับสูง
รวมไปถึงในสาย IT และ OT ทราบดีว่า
การพัฒนาแรงงานต้องทำมากกว่าแค่นำเทคโนโลยีมาใช้เพิ่มประสิทธิภาพ 6 ใน 10
ของผู้นำด้านการผลิตทั่วโลก และ 66% ของผู้นำด้านการผลิตในเอเชีย-แปซิฟิก
ให้ความสำคัญกับการพัฒนาแรงงานอย่างต่อเนื่อง การสร้างเสริมทักษะใหม่ให้พนักงาน
(69% ในเอเชีย-แปซิฟิก) และการพัฒนาสานอาชีพ (56% ในเอเชีย-แปซิฟิก)
เพื่อดึงดูดแรงงานที่มีความสามารถสูงในอนาคตมากที่สุด
‘ออโตเมชัน’ เพิ่มคุณภาพ
นำ automation
มาช่วยเพิ่มคุณภาพให้ถึงขั้นสุด :
ปัจจุบันผู้ผลิตในแต่ละภาคส่วนให้ความสำคัญกับจัดการคุณภาพมาก
แต่ต้องเผชิญกับปัญหาทรัพยากรที่ลดลง
ผลสำรวจพบว่า
ปัญหาหลักในด้านการจัดการคุณภาพที่ผู้นำด้านการผลิตต้องเผชิญ ประกอบไปด้วย
การติดตามการดำเนินงานในซัพพลายเชนได้แบบเรียลไทม์ (33% ทั่วโลก,
40% ในเอเชีย-แปซิฟิก), การปฏิบัติตามมาตรฐาน
และกฎระเบียบใหม่ (29% ทั่วโลก, 30% ในเอเชีย-แปซิฟิก),
การผสานรวมข้อมูล (27% ทั่วโลก, 31%
ในเอเชีย-แปซิฟิก), และการรักษาสถานะของการตรวจสอบย้อนกลับให้คงที่
(27% ทั่วโลก และในเอเชีย-แปซิฟิก)
ในอีก 5 ปีข้างหน้า
แผนการนำเทคโนโลยีต่างๆ
มาปรับใช้ของผู้นำด้านการผลิตจะสามารถรับมือกับความท้าทายเหล่านี้ได้ เช่น
วิทยาการหุ่นยนต์ (65% ทั่วโลก, 72%
ในเอเชีย-แปซิฟิก) ระบบตรวจสอบคุณภาพการผลิต หรือ machine vision (66% ทั้งทั่วโลก และในเอเชีย-แปซิฟิก) RFID (66%
ทั่วโลก, 72% ในเอเชีย-แปซิฟิก) และ fixed industrial
scanners (57% ทั่วโลก, 62% ในเอเชีย-แปซิฟิก)
ผู้นำด้านการผลิตส่วนมากเห็นตรงกันว่าการโซลูชัน
automation
เหล่านี้มีหลายปัจจัยเป็นตัวขับเคลื่อน
ไม่ว่าจะเป็นการมอบหมายงานที่ต้องใช้ทักษะสูงให้กับแรงงาน (70% ทั่วโลก, 75% ในเอเชีย-แปซิฟิก) การบรรลุข้อตกลงด้านระดับการบริการ (69% ทั่วโลก,
70% ในเอเชีย-แปซิฟิก) และการเพิ่มความยืดหยุ่นพื้นที่ (64% ทั่วโลก,
66% ในเอเชีย-แปซิฟิก)
ที่มา : กรุงเทพธุรกิจ
วันที่ 30 กรกฎาคม 2567