IMFประเมินว่า 40% ของงานทั่วโลกจะได้รับผลกระทบโดยตรงจากปัญญาประดิษฐ์ (AI)
และประเทศที่พัฒนาทางเศรษฐกิจมากแล้วยิ่งต้องระวังเป็นพิเศษเพราะประมาณ
60% ของงานจะถูกบังคับให้ต้องปรับตัว
ปีนี้เป็นปีที่ผู้นำทั้งภาครัฐและเศรษฐกิจให้ความสนใจมากกับการพัฒนาอย่างรวดเร็วของปัญญาประดิษฐ์
(AI)
ซึ่งทุกคนยอมรับว่ามีคุณค่าและประโยชน์มหาศาลต่อการทำมาหากินของมนุษย์
ขณะเดียวกันอาจเป็นอันตรายเกินกว่าที่เราจะรับมือได้
การประชุมกลุ่มประเทศพัฒนาใหญ่
G7 ในเดือนมิถุนายนนี้ และการประชุมในเดือนตุลาคมของกลุ่ม BRICS ซึ่งคล้ายกับเป็นตัวแทนของประเทศที่กำลังพัฒนาหรือที่นิยมเรียกกันว่า Global
South ก็คาดว่านอกเหนือจากปัญหาภูมิรัฐศาสตร์และเศรษฐกิจทั่วโลกแล้ว
AIคือประเด็นที่หลีกเลี่ยงไม่ได้
หรืออาจเป็นประเด็นที่สำคัญที่สุดในการสนทนา
AI
ได้เข้ามาเป็นเครื่องมือที่หลายคนอาจเริ่มเพียงแค่ทดลองดูก่อน
แต่ในที่สุดก็แทบจะติดงอมโดยไม่รู้ตัว
พอมีความคล่องแคล่วขึ้นก็จะเห็นได้ชัดว่าสิ่งที่เคยใช้เวลาทำเป็นเวลานาน เมื่อมี AI
เข้าช่วยก็จะลดเวลาลงมาอย่างน่าทึ่ง
จากเดิมอาจค้นคว้าเอกสารหลายชั่วโมง แต่ปัจจุบันเหลือเพียงไม่กี่นาที
บางคนเคยทำบัญชีโดยใช้ซอฟต์แวร์ต่างๆเป็นเวลาหนึ่งสัปดาห์ แต่ปัจจุบันเหลือเพียง 1
ชั่วโมง การเตรียมการสอน หรือการทำวิจัย หรือการเขียนรายงานต่างๆ หรือแม้กระทั่งการเขียนบทความของสื่อมวลชนในปัจจุบันก็มีการใช้
AI ช่วย บางคนคุยกับ AI มากกว่าคุยกับมนุษย์ในเรื่องทั่วไปไม่เฉพาะแค่การงานเท่านั้น
จนเหมือนกลายเป็นความสัมพันธ์ระหว่างเพื่อน
และนี่เป็นเพียงแค่เสี้ยวส่วนเล็กของการใช้ AI ในปัจจุบันซึ่งนับว่าเป็นเพียงแค่การเริ่มต้นของเทคโนโลยีด้านนี้เท่านั้น
มีการสำรวจในสหรัฐอเมริการะบุว่าปัจจุบันประมาณ
20% ของรายงานที่เขียนโดยนักศึกษาในมหาวิทยาลัยนั้นใช้ AI
ช่วย และประมาณ 65% ของนักศึกษาคิดว่า AI สามารถเขียนรายงานได้เทียบเท่าหรือดีกว่ามนุษย์
ซึ่งเรื่องนี้กลายเป็นสิ่งที่วิพากษ์วิจารณ์กันมากว่าจะกระทบกับคุณภาพการศึกษาอย่างไร
เนื่องจากการใช้เครื่องมือที่สะดวกและมีประสิทธิภาพทุ่นแรง อาจทำให้เสียวินัย
ผิดวัตถุประสงค์ของการค้นคว้าแสวงหาความรู้ที่ต้องใช้สมาธิและความอดทนแบบดั้งเดิม
และถึงขั้นที่มีการถกเถียงว่าการเรียนในมหาวิทยาลัยเพื่อเอาปริญญาบัตรนั้นจะมีความจำเป็นอยู่หรือไม่
การลงทุนอย่างมหาศาลของบริษัทยักษ์ใหญ่แห่งเทคโนโลยีในเรื่องปัญญาประดิษฐ์จะนำมาสู่โลกใหม่ที่เราอาจจะยังจินตนาการไม่ได้
(Softbank,
Microsoft, Apple and Foxconn ร่วมมือกันลงทุน 180,000 ล้านเหรียญ,
บริษัทในจีนลงทุน 26,000 ล้านเหรียญ, รัสเซียลงทุน
2,000 ล้านเหรียญ, Amazon, Google, META, NVIDIA, and Salesforce และอีกหลายกลุ่มเป็นจำนวนที่ไม่มีการแถลงชัดเจนอย่างเป็นทางการ)
ผลตอบแทนของการลงทุนนี้คือตลาด
AI
กำลังโตเร็วมาก สถาบัน Gartner ประเมินว่าการใช้จ่ายทั่วโลกในซอฟต์แวร์
AI จะเพิ่มขึ้นจาก 124,000 ล้านเหรียญในปี 2022 เป็น 297,000
ล้านเหรียญในปี 2027 และอัตราการเติบโตต่อปีจะอยู่ที่กว่า 19.1% ในอีกหกปีข้างหน้า
ผู้เชี่ยวชาญหลายคนเคยประมาณไว้ว่าเรามีเวลาประมาณ
10 ปีที่จะปรับตัว แต่ขณะนี้เชื่อว่าภายในไม่เกินห้าปี AI
จะสามารถสื่อสารกันได้ และอาจจะสร้างภาษาระหว่างกัน
ถึงระดับเกินความสามารถที่มนุษย์จะเข้าใจได้
และเมื่อถึงเวลานั้นเราอาจจะไม่สามารถควบคุมได้ว่า
ผลกระทบทั้งดีและร้ายจะเป็นอย่างไร
และอาจไม่สามารถหยุดยั้งการพัฒนาเทคโนโลยีซึ่งเกิดขึ้นโดยอัตโนมัติ
หลายบริษัทในประเทศตะวันตกโดยเฉพาะสหรัฐอเมริกาและยุโรปกำลังร่วมมือกันตั้งมาตรฐานและออกกฎข้อบังคับและกำหนดกติกาเพื่อไม่ให้มีการใช้
AI
ในทางที่ผิด และอาจนำมาสู่ความเสียหายต่อทรัพย์สินและชีวิตของมนุษย์
เช่น การใช้ข้อมูลเปิดเผยแบบ open source มาพัฒนาอาวุธอัตโนมัติต่างๆ
หรืออาวุธเคมี หรืออาวุธชีวภาพ หรือการโฆษณาชวนเชื่อโดยข่าวลือข่าวปลอม เป็นต้น
และ
Trade
War ปัจจุบันแล้วแทบจะคล้ายกับเป็น Tech War มากกว่า
เราจึงเห็นความตึงเครียดของภูมิภาคเอเชียตะวันออกกรณีความขัดแย้งระหว่างจีนกับไต้หวัน
ซึ่งมีสิ่งอ่อนไหวคือเรื่องของ semiconductor ซึ่งผลิตคุณภาพสูงสุดในไต้หวันและเป็นที่พึ่งของตลาดกว่า
90% ของโลก
ความตึงเครียดของภูมิรัฐศาสตร์ใกล้บ้านเรานั้นสรุปว่ามาจากสาเหตุของการแข่งขันเรื่อง
AI
ผู้นำภาครัฐและภาคเอกชนรวมทั้งองค์การระหว่างประเทศออกมาย้ำเตือนว่า
การเปลี่ยนแปลงที่จะกระทบเป็นวงกว้าง IMFประเมินว่า
40% ของงานทั่วโลกจะได้รับผลกระทบโดยตรงจากปัญญาประดิษฐ์ (AI) และประเทศที่พัฒนาทางเศรษฐกิจมากแล้วยิ่งต้องระวังเป็นพิเศษเพราะประมาณ
60% ของงานจะถูกบังคับให้ต้องปรับตัว
ความสามารถในการพัฒนาเทคโนโลยีเก็บข้อมูลและนำมาประยุกต์ใช้ประโยชน์โดยคอมพิวเตอร์ที่มีสมรรถนะมหาศาลและเพิ่มขึ้นทวีคูณ
มาแข่งกับมันสมอง หยาดเหงื่อของมนุษย์ ซึ่งต้องใช้ความรู้ ความขยัน สมาธิ
ความสามารถในการแก้ปัญหาและความร่วมมือระหว่างกลุ่ม เป็นต้น
แม้ว่าการใช้
AI
ในชีวิตประจำวันนั้นไม่จำเป็นจะต้องเรียนรู้จากสถาบันการศึกษา
แต่สำหรับผู้ที่ตั้งใจจริงที่จะเจาะลึกด้านนี้
ผู้เชี่ยวชาญส่วนใหญ่แนะนำให้พุ่งไปที่สาขา STEM เช่น
วิทยาการคอมพิวเตอร์ วิศวกรรมศาสตร์ หรือคณิตศาสตร์
ซึ่งสามารถให้รากฐานที่แข็งแกร่งสำหรับการทำความเข้าใจแนวคิดและเทคโนโลยี AI
ความรู้นี้จะมีค่าสำหรับการทำงานร่วมกับ AI หรืออาจพัฒนาแอปพลิเคชัน
AI ใหม่
และแนะนำให้เรียนรู้ทักษะเฉพาะทางใน
AI
วิทยาศาสตร์ข้อมูล หุ่นยนต์ หรือการเรียนรู้ของเครื่อง
โปรแกรมเหล่านี้สามารถจัดเตรียมทักษะและความรู้เฉพาะที่จำเป็นสำหรับงานที่ต้องการในสาขา
AI เพิ่มเติมโดยการใช้ความเป็นมนุษย์ที่มีอารมณ์อ่อนไหว
ใช้วิจารณญาณและความคิดสร้างสรรค์ การร่วมมือในการทำงานเป็นทีม
การรู้จักดัดแปลงปรับตัวตามสถานการณ์เพื่อสนองต่ออารมณ์ของบุคคลอื่นซึ่งอยู่ในกลุ่ม
เป็นตัวอย่างของการที่มนุษย์สามารถจะเพิ่มประสิทธิภาพของ AI ได้
996
เป็นเข้าใจต่อชาวจีน หมายถึงการทำงานตั้งแต่ 9 โมงเช้าจนถึง 9 โมงเย็นหรือสามทุ่ม
เป็นเวลาหกวันต่อสัปดาห์ รวม 72 ชั่วโมงต่อสัปดาห์
ซึ่งอาจจะเป็นผลดีต่อผลผลิตในการพัฒนาประเทศมาระยะหนึ่ง
แต่มีกระแสต่อต้านซึ่งมาจากความเครียดที่เกิดจากปัญหารุมเร้าหลายอย่างรวมทั้งเศรษฐกิจส่วนตัวและผลตอบแทนที่ไม่คุ้มค่า
ชาวจีนหลายคนโดยเฉพาะวัยหนุ่มสาวประท้วงโดยการไม่ทำงานแบบ 996 อีกต่อไป
แต่จะอยู่บ้านและหาทางใช้ AI ช่วยทุ่นเวลา
ซึ่งหลายคนประสบความสำเร็จในการสร้างโอกาสให้ตนเองและสามารถจะเดินทางไปทำงานและท่องเที่ยวได้ในเวลาเดียวกัน
หลายคนในตะวันตกเริ่มต่อรองการทำงานกับบริษัทให้ลดลงจากเดิมห้าวันต่อสัปดาห์ลดลงเหลือสี่วัน
และบางบริษัทได้ปรับตัวให้พนักงานทำงานที่บ้านได้โดยเข้าประชุมเพียงแค่หนึ่งวันต่อสัปดาห์เท่านั้น
แต่ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับอุปสงค์และอุปทานว่านายจ้างและลูกจ้างมีอำนาจในการต่อรองกันเมื่อเพียงใด
“AI
ไม่ใช่สิ่งที่จะมาแย่งงานจากเรา แต่บุคคลที่มีความสามารถในการใช้ AI
คล่องแคล่วนั้นอาจจะเป็นผู้ที่มาแย่งงานจากเรา”
ที่มา
:
กรุงเทพธุรกิจ
วันที่
18 มิถุนายน 2567