การ์ทเนอร์
เผย 10
'เทรนด์เทคโนโลยี' ที่มีความสำคัญต่อกิจการภาครัฐปี
2566
แนวทางที่ผู้นำองค์กรควรให้ความสำคัญเพื่อผลักดันกระบวนการเปลี่ยนผ่านและเตรียมพร้อมไปสู่รัฐบาลหลังยุคดิจิทัล
(Post-Digital Government)
อาร์เธอร์
มิคโคลีท ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัย การ์ทเนอร์ เปิดมุมมองถึง 'เทรนด์เทคโนโลยี' ว่า
ความวุ่นวายทั่วโลกและการหยุดชะงักทางเทคโนโลยีในปัจจุบันไม่เพียงแต่กำลังกดดันรัฐบาลให้ต้องหาทางออกเพื่อปรับสมดุลระหว่างโอกาสและความเสี่ยงทางดิจิทัลเท่านั้น
แต่ยังให้โอกาสสำคัญสำหรับเปลี่ยนแปลงรัฐบาลดิจิทัลไปสู่ยุคถัดไป
ซึ่งผู้บริหารไอทีต้องแสดงให้เห็นว่าการลงทุนดิจิทัลของพวกเขานั้นไม่ได้เป็นเพียงแค่กลยุทธ์ทั่วๆ
ไป
พิทักษ์
‘ซิเคียวริตี้’ องค์กร
สำหรับเทคโนโลยีที่ ซีไอโอ ภาครัฐควรพิจารณาและนำมาปรับใช้ เพื่อปรับปรุงความสามารถทางธุรกิจ บรรลุภารกิจสำคัญของผู้นำ และสร้างองค์กรรัฐที่พร้อมสำหรับอนาคตยิ่งขึ้น ประกอบด้วย
Adaptive
Security : การ์ทเนอร์คาดว่า ปี 2568 ราว 75%
ของซีไอโอในองค์กรภาครัฐจะมีหน้าที่รับผิดชอบโดยตรงต่อการรักษาความปลอดภัย
โดยจะมีทั้งเทคโนโลยีด้านความปลอดภัยของการปฏิบัติงานต่างๆ
เทคโนโลยีที่แวดล้อมภารกิจสำคัญขององค์กร
รวมไปถึงการผสานรวมข้อมูลองค์กร
ความเป็นส่วนตัว ซัพพลายเชน ระบบไซเบอร์และกายภาพ (Cyber-Physical
Systems : CPS) และระบบคลาวด์ที่มีการรักษาความปลอดภัยอย่างบูรณาการ
ซีไอโอ ควรเชื่อมโยง Adaptive Security ให้มีขอบเขตกว้างขึ้นไปถึงนวัตกรรมดิจิทัล การทำดิจิทัลทรานส์ฟอร์เมชัน ภารกิจด้านความมั่นคงของชาติ และเป้าหมายในการสร้างความยืดหยุ่นขององค์กรมากยิ่งขึ้น
ปรับตัวมุ่งสู่
‘คลาวด์’
Cloud-Based
Legacy Modernization : รัฐบาลถูกกดดันให้รื้อระบบเก่า
ระบบแบบไซโลต่างๆ และการจัดเก็บฐานข้อมูล
เพื่อปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐานไอทีและแอปพลิเคชันให้ทันสมัย
รวมถึงเพื่อให้มั่นใจว่าบริการภาครัฐมีความยืดหยุ่นมากขึ้น
การ์ทเนอร์คาดว่าภายในปี
2568 กว่าครึ่งของงานที่ต้องทำขององค์กรภาครัฐมากกว่า 75%
จะใช้ผู้ให้บริการคลาวด์แบบไฮเปอร์สเกล
Sovereign
Cloud : ความปั่นป่วนทั่วโลก
ตลอดจนความกังวลเกี่ยวกับความเป็นส่วนตัวของข้อมูล
และการเข้าถึงข้อมูลของรัฐบาลที่เกินขอบเขต ส่งผลให้มีความต้องการอธิปไตยบนคลาวด์
(Sovereign Cloud) มากขึ้น
การ์ทเนอร์คาดการณ์ว่า
ภายในปี 2568 มากกว่า 35% ของแอปพลิเคชันรัฐรุ่นเก่าๆ จะถูกแทนที่ด้วยโซลูชันต่างๆ
ที่พัฒนาด้วยแพลตฟอร์มแอปพลิเคชันแบบ Low-Code และดูแลโดยทีมงานแบบผสมผสาน (Fusion Team)
เพิ่มลงทุน
‘ออโตเมชัน-เอไอ’
Hyperautomation
: การ์ทเนอร์ ระบุว่าภายในปี 2569 องค์กรภาครัฐ 60%
จะให้ความสำคัญกับการพัฒนาระบบอัตโนมัติในกระบวนการทำงาน เพิ่มขึ้นจาก 35% ในปี
2565
โดยการริเริ่มโครงการไฮเปอร์ออโตเมชั่น
(Hyperautomation)
ใหม่ๆ จะช่วยสนับสนุนการทำงานและกระบวนการไอทีภาครัฐ สำหรับการให้บริการสาธารณะที่เชื่อมต่อและลื่นไหลแก่ประชาชน
AI
for Decision Intelligence : ภายในปี 2567 การ์ทเนอร์คาดการณ์ว่า
60%
ของการลงทุนกับเอไอและการวิเคราะห์ข้อมูลของรัฐบาลจะส่งผลโดยตรงต่อการตัดสินใจและผลลัพธ์การปฏิบัติงานแบบเรียลไทม์
โดยเอไอเพื่อการตัดสินใจอย่างชาญฉลาด
(AI
For Decision Intelligence) จะช่วยให้รัฐบาลตัดสินใจได้อย่างรวดเร็ว
แม่นยำ ทันท่วงทีในระดับที่เหมาะสม
ซีไอโอ
ต้องพร้อมสำหรับการนำเอไอมาใช้อย่างแพร่หลาย
โดยตรวจสอบให้มั่นใจว่ามีข้อมูลเพียงพอต่อการตัดสินใจและเป็นไปตามหลักการกำกับดูแลของภาครัฐที่มีประสิทธิภาพ
ก้าวใหม่การใช้
‘ข้อมูล’
Data
Sharing as a Program : การใช้ข้อมูลร่วมกัน (Data sharing) ระหว่างหน่วยงานต่างๆ
ขององค์กรภาครัฐนั้นยังไม่เพียงพอต่อความต้องการสำหรับการนำข้อมูลมาใช้และวิเคราะห์
ภายในสิ้นปี
2566 นี้ การ์ทเนอร์คาดการณ์ว่า 50%
ขององค์กรภาครัฐจะจัดตั้งหน่วยงานที่รับผิดชอบภารกิจด้านแบ่งปันข้อมูลอย่างจริงจัง
รวมถึงมาตรฐานโครงสร้างข้อมูล คุณภาพและทันเวลา
Total
Experience หรือ TX : ภายในปี 2569
แนวทางการสร้างประสบการณ์ภาพรวมของรัฐบาล (Total Experience หรือ
TX) จะลดความคลุมเครือในกระบวนการทำงานลงถึง 90%
ขณะเดียวกัน
ยังเพิ่มมาตรวัดความพึงพอใจทั้งประสบการณ์ของประชาชนหรือผู้ใช้บริการภาครัฐ (CX)
และประสบการณ์ของพนักงานหรือข้าราชการ (EX) ขึ้นถึง
50%
มิติใหม่
‘บริการดิจิทัล’
Digital
Identity Ecosystems : การ์ทเนอร์คาดว่า ภายในปี 2567 มากกว่า 1 ใน
3 ของหน่วยงานภาครัฐระดับประเทศจะใช้วอลเล็ตแบบระบุอัตลักษณ์บุคคล
โดยรัฐบาลกำลังเผชิญกับความรับผิดชอบรูปแบบใหม่ของการระบุอัตลักษณ์ดิจิทัลผ่านระบบนิเวศต่างๆ
ที่เกิดขึ้นใหม่ หรือ Emerging Digital Identity Ecosystems ที่มาพร้อมกับความคาดหวังว่า ระบบต้องมีความปลอดภัย มีนวัตกรรมทันสมัย
และสามารถนำไปใช้ในภาคส่วนอื่นๆ รวมถึงการเดินทางข้ามพรมแดน
หากภาครัฐต้องการบรรลุเป้าหมายนี้
ต้องทำให้ข้อมูลอัตลักษณ์ดิจิทัลที่มีความสำคัญสูงนี้เข้าถึงได้ง่ายและสอดคล้องกับกลุ่มเป้าหมายหลากหลายที่เป็นผู้ใช้ปลายทางรวมถึงผู้ให้บริการต่างๆ
Case
Management as a Service (CMaaS) : การบูรณาการของบริการภาครัฐขึ้นอยู่กับการออกแบบและพัฒนาโซลูชั่นการจัดการเป็นกรณี
(Case Management) ให้เป็นผลิตภัณฑ์และบริการที่สามารถประกอบรวมกันได้
การ์ทเนอร์
คาดว่า ภายในปี 2567 หน่วยงานรัฐที่ใช้แนวทางการจัดการแบบประกอบกัน (หรือ Composable
Case Management) จะปรับใช้ฟีเจอร์ใหม่ได้เร็วกว่าหน่วยงานอื่นที่อยู่ในระดับใกล้เคียงกันถึง
80%
Composable
Government Enterprise : รัฐบาลสามารถประสบความสำเร็จและทลายกรอบการทำงานแบบเก่า
ระบบทำงานไซโล และรูปแบบการเก็บข้อมูลได้
โดยใช้สถาปัตยกรรมที่สามารถนำมาประกอบกันได้
(Composable
Architecture) กับสถาปัตยกรรมแอปพลิเคชัน
ควบคู่ไปกับความสามารถของระบบอัตโนมัติและแมชีนเลิร์นนิง
ซีไอโอ
ควรใช้เทรนด์เหล่านี้ปรับองค์กรรัฐให้ทันสมัย (Modernization) มีข้อมูลเชิงลึก (Insights) และเปลี่ยนผ่านให้ทันโลก
(Transformation)
ที่มา :
กรุงเทพธุรกิจ
วันที่ 26
พฤษภาคม 2566