สหรัฐเข้ายากสำหรับคนไทย
เริ่มจากกระบวนการอันยาวนานของการขอวีซ่า จนกระทั่งตอนสุดท้ายเมื่อเดินทางไปถึง ซึ่งมักจะต้องต่อแถวยาวเหยียดเพื่อรอรับการตรวจหนังสือเดินทางและวีซ่า
ตามด้วยการตรวจตราของเจ้าหน้าที่ศุลกากร
ผมเดินทางเข้าสหรัฐนับร้อยครั้งหลังไปอาศัยอยู่ที่นั่นกว่า
50 ปี กระบวนการดังกล่าวนี้แทบไม่เปลี่ยน เนื่องจากผมยังถือหนังสือเดินทางไทยแม้หลังเป็นผู้สูงวัยจะได้รับ
“ใบเขียว” หรือวีซ่าถาวรแล้วก็ตาม
จนกระทั่งเมื่อผมมาเมืองไทยครั้งล่าสุดและเพิ่งเดินทางกลับไปสหรัฐเมื่อวันที่ 4
มี.ค.
การเดินทางเข้าสหรัฐครั้งนี้ผมจำใจต้องไปเข้าที่เมืองแอตแลนตา
ทั้งที่พยายามเลี่ยงที่นั่นเนื่องจากท่าอากาศยานมีขนาดใหญ่และสายการบินใช้มากไม่ต่างกับท่าอากาศยานของมหานครนิวยอร์ก
ทั้งนี้เพราะสายการบินทำผิดพลาดส่งผลให้ผมหมดโอกาสเลือก
ผมแปลกใจเมื่อไปถึงเนื่องจากแถวที่รอตรวจหนังสือเดินทางไม่ยาวตามคาด
ทั้งที่เป็นช่วงก่อนเที่ยงวัน ซึ่งสายการบินเข้ามากและมีเจ้าหน้าที่ตรวจหนังสือเดินทางนั่งทำงานอยู่เพียง
3 คน ยิ่งกว่านั้น ผมนำกระเป๋าสัมภาระเดินผ่านด่านศุลกากรได้โดยไม่มีการตรวจตรา
ในความสะดวกเกินคาดนั้น
ผมสังเกตเห็นความแตกต่าง 2 ด้านระหว่างครั้งนี้และครั้งที่แล้วๆ มา
ซึ่งล่าสุดผมมาเมืองไทยเมื่อปีที่แล้วและกลับสหรัฐในเดือน มิ.ย.
นั่นคือการใช้กล้องมองหน้าผู้เดินทางในระหว่างตรวจหนังสือเดินทาง
เจ้าหน้าที่ให้ผมมองกล้องโดยไม่ต้องเปิดหนังสือเดินทางให้ดูแล้วถามผมความว่า
“ไสวใช่ไหม?” หลังผมตอบว่าใช่ เขาถามต่อว่า
“เอาใบเขียวมาด้วยใช่ไหม?” ผมตอบว่าใช่ พร้อมกับจะแสดงให้เขาดู
เขาบอกผมว่า
“คุณไปได้” ผมสังเกตว่า คนข้างหน้าผม นานๆ จึงจะถูกเขาถามมากกว่านั้น
หรือให้แสดงเอกสารเดินทาง แต่ละคนน่าจะใช้เวลาเฉลี่ยราว 1 นาที
เมื่อผมเข้าไปรอเอากระเป๋าสัมภาระ
ผมเห็นเจ้าหน้าที่ศุลกากรพาสุนัขตัวเล็กๆ เดินดมกระเป๋าที่เข้ามาตามสายพานและที่วางอยู่ตามพื้น
ผมสังเกตว่าสุนัขมาหยุด ณ กล่องใหญ่กล่องหนึ่ง
เมื่อเจ้าหน้าที่เริ่มเปิดกล่องก็พอดีผมได้กระเป๋า
จึงไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นหลังจากนั้น ส่วนผู้ที่รับกระเป๋าพร้อมๆ
กับผมก็เดินผ่านด่านศุลกากรได้โดยไม่มีใครถูกเรียกตรวจ
โลกมีเทคโนโลยีใหม่
ที่ใช้มองหน้าคนแล้วรู้ว่าเป็นใครมาหลายปีแล้ว
ผมทราบเพราะผมมาเมืองไทยเมื่อหลายปีก่อนโดยผ่านสนามบินฮ่องกง
ในระหว่างเดินไปท่ามกลางฝูงชน
มีเจ้าหน้าที่เข้ามาบอกให้ผมถอดหมวกออกตามข้อบังคับของสนามบิน
แต่ผมเพิ่งเห็นนำมาใช้ในการตรวจคนเข้าเมืองแบบจริงจังเป็นครั้งแรก
ส่วนสุนัข
ผมเห็นสหรัฐใช้มาหลายครั้งแล้ว
แต่ศุลกากรยังมักเรียกตรวจและผมเคยถูกเรียกให้รอตรวจเป็นชั่วโมงทั้งที่ไม่เคยมีอะไรผิดกฎหมายอยู่ในกระเป๋า
ประสบการณ์ครั้งนี้ยืนยันอีกครั้งว่า
เทคโนโลยีมีประโยชน์มหาศาลหากใช้มันด้วยสัมมาเจตนา อย่างไรก็ดี ในช่วงนี้แทนที่จะมีรายงานเรื่องการพัฒนาปัญญาประดิษฐ์เพื่อแก้ปัญหาใหญ่
อันเกิดจากความไม่สมดุลระหว่างประชาชนวัยทำงานกับจำนวนผู้สูงวัยที่เพิ่มขึ้นแบบไม่หยุดยั้ง
กลับมีแต่รายงานเกี่ยวกับการใช้มันไปในทางร้ายไม่เว้นแต่ละวัน
โดยเฉพาะเรื่องการใช้ปัญญาประดิษฐ์ ซึ่งผมมองว่าจะนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในสังคมมนุษย์จนเป็นคลื่นลูกที่
4 เพื่อหลอกเอาทรัพย์สินของผู้รู้ไม่เท่าทัน
คอลัมน์นี้ประจำวันที่
3 ก.พ. แสดงความวิตกว่า ถ้าบริษัทต่างๆ
แข่งขันกันขายผลผลิตจากเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์
โดยวิธีลดมาตรฐานทางจรรยาบรรณของการควบคุมผลกระทบ โลกของเราอาจเดินเข้าภาวะหายนะได้ในเร็ววัน
หลังจากนั้น
รายงานบ่งชี้ว่าการลดมาตรฐานทางจรรยาบรรณดูจะกำลังเกิดขึ้นจริง
ทั้งที่มีรายงานว่าไมโครซอฟท์ซึ่งเป็นหนึ่งในยักษ์ใหญ่ที่ใช้เงินทุนมหาศาลพัฒนาปัญญาประดิษฐ์พยายามจะยับยั้งผลกระทบของมันแบบเต็มกำลัง
ในขณะนี้
โลกจึงมีการต่อสู้กันระหว่างฝ่ายมีเจตนาดีกับฝ่ายมีเจตนาร้ายในการใช้ปัญญาประดิษฐ์
ผู้ชนะจะกำหนดอนาคตของมนุษยชาติ.
ที่มา :
กรุงเทพธุรกิจ
วันที่ 10
มีนาคม 2566