จากบทความ
‘Flexible
Manufacturing: การผลิตยุคใหม่ที่รองรับความหลากหลายของสินค้าในยุค Personalization’
ของ คุณชัชชัย ผลมูล CEO & Founder บริษัท
เบรนเวิร์คส จำกัด และรองนายกสมาคม TARA ที่ทำให้เข้าใจถึงแรงผลักดันที่ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของธุรกิจการผลิตสู่
Flexible Manufacturing ไม่ว่าจะเป็นการเปลี่ยนแปลงของผู้บริโภค
และการเข้ามามีส่วนของเทคโนโลยีใหม่ ๆ
และบทความนี้คุณชัชชัยจะพาทุกท่านไปทำความรู้จักกับการผลิตแบบยืดหยุ่นกันว่ามีจุดเด่นและมีรายละเอียดที่น่าสนใจอย่างไรสำหรับผู้ประกอบการที่กำลังแข่งขันกันอยู่ในสภาวะเศรษฐกิจยุคปัจจุบัน
Flexible
Manufacturing หรือที่เราอาจจะเคยได้ยินกันว่า
‘ระบบการผลิตแบบยืดหยุ่น’
เป็นรูปแบบการผลิตที่ออกแบบมาให้สามารถตอบสนองต่อการผลิตสินค้าที่มีหลากหลายรูปแบบมากยิ่งขึ้น
เช่น การผลิตเครื่องดื่มบรรจุขวดที่มีขนาดแตกต่าง มีฝาที่แตกต่าง
รวมถึงรายละเอียดเล็กน้อยบางประการ โดยอาจเปลี่ยนชิ้นส่วนในเครื่องจักรหรือสายการผลิตบางส่วนที่ใช้เวลาไม่นาน
สามารถทำได้โดยแรงงาน
หรือจะมีการออกแบบระบบอัตโนมัติไว้ล่วงหน้าซึ่งจะมีราคาสูงกว่ามาก
สายการผลิตแบบยืดหยุ่นนี้สามารถปรับเปลี่ยนความต้องการในการผลิตสินค้าได้โดยไม่ต้องลดทอนเรื่องของคุณภาพที่จะเกิดขึ้น
ไม่ว่าจะเป็นผลิตภัณฑ์ใหม่ ๆ แบทช์การผลิตที่มีขนาดต่างกัน
ลำดับการสั่งซื้อที่เปลี่ยนไป และอื่น ๆ
ซึ่งในบางครั้งเราอาจได้ยินคนเรียกการผลิตแบบนี้ว่า Mass Customization ก็ได้เช่นกัน
Flexible
Manufacturing นั้นมีการใช้งานระบบอัตโนมัติ (Industrial
Automation) เป็นหัวใจสำคัญเพื่อให้คงไว้ซึ่งคุณภาพ ผลิตภาพ
ต้นทุนที่ต่ำ และการลดของเสีย
คล้ายกับสายการผลิตแบบดั้งเดิมที่ใช้แรงงานซึ่งสามารถปรับเปลี่ยนรายละเอียดได้อย่างง่ายดาย
แต่มีปัญหาด้านการควบคุมคุณภาพและกำลังการผลิต
ในขณะที่การใช้ระบบการผลิตอัตโนมัติทั่วไปมักจะโฟกัสไปที่การผลิตสินค้าหรือชิ้นส่วนแบบเดียวเพื่อลดความยุ่งยากในการบูรณาการและต้นทุนที่เกี่ยวข้อง
ซึ่งการผลิตแบบ Flexible Manufacturing ได้รวมจุดเด่นจากทั้ง
2 รูปแบบการผลิตเอาไว้ด้วยกัน
อาจเป็นไปได้ทั้งสายการผลิตที่ใช้ AMR ในการลำเลียงเป็นหลัก
หรือเป็นสายการผลิตแบบสายพานแต่สถานีการผลิตสามารถปรับแต่งการทำงานให้ผลิตได้หลากหลายรูปแบบ
ซึ่งอาจมีการลงทุนเล็กน้อยหรือใช้เวลาปรับเปลี่ยนระหว่างการผลิตไม่มาก
ในเรื่องของการผลิตนั้นผลลัพธ์ที่ต้องการที่ชัดเจนที่สุด
คือ ผลกำไรที่เกิดขึ้น ในภาพรวมเอง Flexible Manufacturing
นั้นสามารถเพิ่มประสิทธิภาพในการผลิต
เพิ่มความยืดหยุ่นในสายการผลิตได้
และในขณะเดียวกันก็ทำให้ระบบทั้งหมดบูรณาการเข้าหากันเพื่อให้การใช้งานเกิดศักยภาพสูงสุด
ซึ่งสิ่งที่กล่าวถึงนั้นเป็นภาพรวมที่เกิดขึ้น
แต่หากมองลงไปในผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นแบบจำเพาะเจาะจงยิ่งขึ้นจะมองเห็นประโยชน์สำหรับธุรกิจการผลิต
ดังนี้
ในขณะเดียวกันข้อควรระวังของการผลิตแบบ
Flexible
Manufacturing ก็สามารถแบ่งออกได้เป็น 3 ประเด็นใหญ่
ๆ ได้แก่ การลงทุนเทคโนโลยีที่มีต้นทุนสูง
ความต้องการแรงงานทักษะในการควบคุมการผลิต
และความซับซ้อนในการบูรณาการสืบเนื่องจากระบบเองที่ต้องรองรับการทำงานที่หลากหลาย
ซึ่งแต่ละธุรกิจควรต้องพิจารณาถึงเงื่อนไขต่าง ๆ ของธุรกิจให้ครบถ้วน
การผลิตแบบ
Flexible
Manufacturing นั้นมีรายละเอียดปลีกย่อยอีกมาก
ไม่ว่าจะเป็นเทคโนโลยีที่ใช้ รูปแบบการผลิตที่เหมาะสม
ตลอดจนเงื่อนไขของธุรกิจการผลิตในแต่ละอุตสาหกรรม
แต่แนวคิดหนึ่งที่สามารถนำมาใช้วัดหรือพิจารณาได้ในทุกเงื่อนไขที่เกิดขึ้น คือ
การแบ่งลำดับขั้นที่สามารถบ่งบอกถึงความยืดหยุ่นที่เกิดขึ้นได้อย่างชัดเจน
การผลิตแบบ
Flexible
Manufacturing นั้นอาจเกิดขึ้นได้หลากหลายรูปแบบขึ้นอยู่กับเงินทุน
กำลังการผลิต และเทคโนโลยีที่เลือกใช้
สามารถเป็นไปได้ทั้งการผลิตแบบเครื่องจักรเซลล์เดียว เช่น เครื่อง CNC ที่สามารถผลิตได้หลากหลาย, การผลิตแบบ Flexible
Manufacturing Cell ที่ประกอบด้วยเครื่องจักร 2 – 3 ตัว เช่น เครื่อง CNC และเทคโนโลยีกลุ่ม Material
Handling ที่ทำงานด้วยกัน และสุดท้าย คือ Flexible
Manufacturing System (FMS) ที่ประกอบด้วยสถานีการผลิตตั้งแต่ 4
สถานีขึ้นไป ซึ่งสามารถวาง Layout การผลิตได้หลากหลายรูปแบบ
ภายใต้รูปแบบและเงื่อนไขที่เกิดขึ้น
ความยืดหยุ่นของการผลิตแบบ Flexible Manufacturing นั้นถูกแบ่งออกเป็น 3 ลำดับขั้น ได้แก่
1.
ความยืดหยุ่นพื้นฐาน
2.
ความยืดหยุ่นของระบบ
3.
ความยืดหยุ่นในภาพรวมที่เกิดขึ้น
จะเห็นได้ว่าในแต่ละลำดับขั้นนั้นความครอบคลุมของความยืดหยุ่นจะส่งผลออกไปในวงกว้างมากขึ้นเรื่อย
ๆ โดยความยืดหยุ่นขั้นพื้นฐานนั้นอาจหมายถึงการทำงานในขนาดเล็ก
ในขณะที่ความยืดหยุ่นของระบบเป็นการทำงานร่วมกันของเครื่องจักรและเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้องในวงกว้าง
และสุดท้ายความยืดหยุ่นในภาพรวมนั้นเป็นความยืดหยุ่นที่สามารถรับมือกับปัจจัยภายนอกได้อย่างมีประสิทธิภาพโดยมีพื้นฐานที่มั่นคงมาจาก
2 ลำดับแรกแล้วนั่นเอง
รูปแบบการผลิตที่นิยมและมีกิจกรรมการผลิตเป็นส่วนใหญ่ในปัจจุบัน
คือ Mass
Manufacturing ที่เป็นการผลิตจำนวนมาก
ซึ่งสามารถผลิตชิ้นส่วนได้เพียงรูปแบบเดียว
แต่มีจุดเด่นในเรื่องของความรวดเร็วและปริมาณที่ผลิตได้จำนวนมหาศาล ในขณะที่ Flexible
Manufacturing นั้นสามารถผลิตชิ้นส่วนหรือสินค้าที่ใกล้เคียงกันได้หลากหลาย
มีรายละเอียดที่แตกต่างกันได้มากขึ้นแต่กำลังการผลิตจะไม่อาจเทียบได้กับ Mass
Manufacturing แม้จะเป็นการผลิตในระดับอุตสาหกรรมเหมือนกันก็ตาม
หรืออาจจะเรียกได้ว่าการผลิตแบบ Flexible Manufacturing นั้นเป็นการผลิตแบบที่มีการผสมผสานของสินค้าที่มีความแตกต่างหลากหลายแต่มีปริมาณการผลิตที่น้อยลง
(High Mixes, Low Volumes) ซึ่งเปรียบเทียบให้เห็นง่าย ๆ
ตามตารางด้านล่างนี้
แม้ว่า
Flexible
Manufacturing นั้นจะต้องการเทคโนโลยีสมัยใหม่ในการผลิตอย่างมาก
ไม่ว่าจะเป็นระบบอัตโนมัติ เทคโนโลยีดิจิทัล
ไปจนถึงการใช้งานข้อมูลที่เที่ยงตรงแม่นยำในการผลิต
แนวคิดการผลิตแบบนี้นั้นไม่ได้เพิ่งเกิดขึ้นมา
แต่ได้รับการคิดค้นและพัฒนามาตั้งแต่ช่วงยุคศตวรรษที่ 20 (19xx) แล้ว และสินค้ากลุ่มแรก ๆ ที่มีการผลิตในลักษณะดังกล่าวมักเป็นสินค้าแฟชัน
เครื่องนุ่งห่ม ที่มาพร้อมกับหลากหลายขนาด หลากหลายสี และตัวเลือก จึงขอยกตัวอย่าง
4 แบรนด์ที่มีการผลิตแบบ Flexible Manufacturing ให้ทุกคนได้รู้จักกัน ดังนี้
Nike
แบรนด์ผู้ผลิตรองเท้าที่ทุกคนรู้จักกันดี
มีระบบการผลิตที่ยืดหยุ่นทำให้สามารถผลิตสินค้าได้หลากหลายแบตช์ตามความต้องการ
ซึ่งในปัจจุบัน Nike เปิดให้เลือกสั่งรองเท้าแบบ
Customize จากรุ่นพื้นฐานที่มี
แต่สามารถปรับรายละเอียดได้ตั้งแต่สีรองเท้า การตกแต่งลิ้นรองเท้า
ไปจนถึงลวดลายที่พื้นรองเท้า ภายใต้ตัวเลือกที่กำหนดนอกเหนือจากสีและขนาด
Lego
ผู้ผลิตของเล่นรายใหญ่ซึ่งเป็นที่ชื่นชอบตั้งแต่เด็กจนถึงคนสูงวัยนั้น
มีสายการผลิตที่หลากหลาย
แม้กระทั่งมีการผลิตเวอร์ชันที่แตกต่างกันของผลิตภัณฑ์ตัวเดียวกันอีกด้วย
ซึ่งโรงงานในเดนมาร์กที่เมือง Billund มีการใช้งานหุ่นยนต์ร่วมกับระบบอัตโนมัติอื่น
ๆ เพื่อทำการผลิตกว่า 1 พันล้านชิ้นต่อปี
L’Oreal
ผู้ผลิตเครื่องสำอางรายใหญ่ที่ใช้
Flexible
Manufacturing เพื่อสร้างผลิตภัณฑ์ที่ปรับแต่งได้
และกลุ่มผลิตภัณฑ์ที่เป็นแบตช์ขนาดเล็กเพื่อเจาะเทรนด์ยุค Personalization ให้ตรงกับกลุ่มลูกค้าเครื่องสำอางมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการใช้ Cobot,
Digital Twins และ AR เป็นต้น
Canon
ผู้ผลิตในอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์เป็นหนึ่งในกลุ่มอุตสาหกรรมที่ต้องเผชิญหน้าความเปลี่ยนแปลงอย่างต่อเนื่องและฉับไว
Canon
เองได้มีการลงทุนด้านระบบอัตโนมัติและ Flexible
Manufacturing เพื่อช่วยในการตอบสนองต่อกลุ่มสินค้าที่หลากหลาย
แม้กระทั่งสินค้ากล้องดิจิทัลเองที่มีทั้งเลนส์ ตัวกล้อง และอุปกรณ์เสริมต่าง ๆ
ทำให้การประกอบแผงวงจร การทดสอบสินค้า
และการบรรจุจำเป็นต้องมีความยืดหยุ่นในการใช้งานที่สูงตามไปด้วย
ตลอดเวลาที่ผ่านมานั้นเรามักจะได้ยินคนพูดถึงอุตสาหกรรม
4.0 หรือโรงงานอัตโนมัติเต็มรูปแบบที่ไร้คน ซึ่งต้องบอกว่าหลัก ๆ
แล้วจะเป็นโรงงานในอุดมคติที่มีศักยภาพสูง
แต่ในความเป็นจริงแล้วมีผู้ผลิตจำนวนไม่มากที่จะสามารถทำแบบนั้นได้
เพราะมีมูลค่าในการลงทุนมหาศาลทั้งยังต้องการแรงงานทักษะสูงจำนวนมากเพื่อทำให้ธุรกิจการผลิตเดินหน้าได้อย่างครบมิติ
ในทางกลับกันความท้าทายต่าง
ๆ นานาที่ไล่หลังผู้ประกอบการไทยมา ไม่ว่าต้นทุนแรงงาน วัตถุดิบ ซัพพลายเชน
การขาดแคลนแรงงาน การขาดแคลนทักษะ ไปจนถึงเรื่องเงินทุนต่าง ๆ
ที่ล้วนแต่ชี้ชัดว่าทางรอดของการผลิตนั้นต้องการเทคโนโลยีมามีส่วนช่วยอย่างแน่นอน
ไม่ว่าจะเป็นระบบอัตโนมัติหรือแพลตฟอร์มดิจิทัลต่าง ๆ
แต่การจะใช้ระบบอัตโนมัติเต็มรูปแบบนั้นอาจไม่ได้เหมาะสมกับเงินทุนและปัจจัยแวดล้อมอื่น
ๆ สำหรับผู้ประกอบการส่วนใหญ่ การเลือกใช้แนวทางของ Flexible
Manufacturing จะมีความเหมาะสมกว่า เพราะใช้เงินทุนที่น้อยกว่า
ทั้งยังสามารถรองรับคำสั่งซื้อได้หลากหลายมากกว่า
ไม่จำเป็นต้องรอคำสั่งซื้อจำนวนมากสำหรับผลิตภัณฑ์แบบเดียว
ซึ่งสอดคล้องกับเทรนด์ที่ได้กล่าวถึงในบทความที่แล้ว
นอกจากนี้การที่ประเทศไทยนั้นยังพึ่งพาแรงงานเป็นจำนวนมาก
Flexible
Manufacturing ยังสามารถบูรณาการแรงงานที่เหมาะสมเข้ากับการผลิตได้อย่างลงตัว
เช่น
การตรวจสินค้าบางประเภทที่มีรายละเอียดสูงซึ่งเครื่องจักรยังไม่สามารถทำได้หรือต้องมีเทคโนโลยีซับซ้อนในการดำเนินการทำให้ยังคงต้องการแรงงานอยู่
หรือในกรณีของการนำ Cobot เข้ามาทำงานร่วมกับคนและเทคโนโลยีอื่น
ๆ ทำให้รักษาคุณค่าและทักษะที่จำเป็นไว้ได้ และลดภาระในส่วนที่ไม่จำเป็นของแรงงาน
ทำให้ธุรกิจสามารถเติบโตได้แม้ปัจจัยภายนอกจะเกิดความเปลี่ยนแปลงก็ตาม
ที่มา : MMThailand
วันที่ 20 พฤษภาคม 2567