“อะไรๆ ก็เอไอ เลิกพูดถึงการแทนที่พนักงานด้วย AI ได้หรือไม่?”
คำถามนี้กำลังเป็นประเด็นร้อนในวงการธุรกิจ ปฏิเสธไม่ได้ว่าในยุค AI
Boom หลายองค์กรต้องการใช้เอไอมากขึ้นเพื่อขับเคลื่อนธุรกิจไปข้างหน้า
ทว่าการเอา
“เอไอ” มาใช้แทน “คน” อาจเป็นมุมมองที่คับแคบเกินไป
เพราะเอไอเป็นเสมือนเครื่องมือที่ช่วยเสริมศักยภาพให้พนักงาน
เพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน และสร้างโอกาสใหม่ๆ ให้กับองค์กร
ดังนั้น
การใช้เอไออย่างชาญฉลาด คือ
การผสมผสานความสามารถของเทคโนโลยีเข้ากับทักษะที่เป็นเอกลักษณ์ของมนุษย์ เช่น
ความคิดสร้างสรรค์ การแก้ปัญหาที่ซับซ้อน และทักษะทางอารมณ์
แทนที่จะมองว่าเอไอจะมาแย่งงานของพนักงาน
องค์กรควรพิจารณาว่าจะใช้เอไออย่างไรเพื่อลดภาระงานที่ซ้ำซาก
การเปลี่ยนแปลงนี้ต้องอาศัยการปรับโครงสร้างองค์กร
ฝึกอบรมทักษะใหม่ให้กับพนักงาน
และการสร้างวัฒนธรรมองค์กรที่ส่งเสริมการเรียนรู้และการปรับตัวเกี่ยวกับเอไออย่างต่อเนื่อง
ท้ายที่สุดแล้ว
องค์กรที่ประสบความสำเร็จในยุคเอไอจะเป็นองค์กรที่สามารถใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีไปพร้อมๆ
กับการพัฒนาศักยภาพของทรัพยากรมนุษย์ได้อย่างสมดุล
Gershon
Goren ผู้ก่อตั้ง Cangrade บริษัทที่นำเอไอมาช่วยคัดเลือกพนักงานและพัฒนาทรัพยากรมนุษย์
ออกมาเตือนว่า การแทนที่พนักงานด้วยเอไอแม้จะช่วยลดต้นทุน
แต่อาจส่งผลเสียต่อคุณภาพการบริการและยอดขาย
โดยเขาเสนอแนวทางการใช้เอไออย่างสร้างสรรค์ 3 ประการ ได้แก่
1)
ลดภาระงานและชั่วโมงทำงาน
ปัญหาการเหนื่อยล้าจากการทำงานกำลังแย่ลงเรื่อยๆ
ส่งผลให้ประสิทธิภาพลดลงและอัตราการลาออกเพิ่มขึ้น
เอไอจะเข้ามาประสิทธิภาพของแรงงาน ช่วยให้พนักงานมีเวลาว่างในแต่ละวันมากขึ้น
ควรลดภาระงานของพนักงานแต่ละคนและให้เวลากลับคืนในแต่ละสัปดาห์
เพื่อปรับปรุงคุณภาพชีวิตโดยไม่ส่งผลกระทบต่อผลผลิต
ควรใช้เอไอแบบ
“co-pilot”
หรือผู้ช่วยเอไอ
เพราะเอไอประเภทนี้ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของพนักงาน
ไม่ได้มีจุดประสงค์เพื่อทำงานแทนมนุษย์ทั้งหมด
ควรระวังการใช้เอไอที่อาจทดแทนความสามารถของพนักงานโดยสิ้นเชิง
และต้องระมัดระวังการใช้เครื่องมือเอไอที่โฆษณาเกินจริง เช่น Devin (เอไอวิศวกรซอฟต์แวร์อัตโนมัติ)
2)
รักษาค่าตอบแทนให้แข่งขันได้
พร้อมพิจารณาปัจจัยอื่นนอกเหนือจากเงินเดือน
เนื่องจากบริษัทควรจ่ายในอัตราที่สอดคล้องกับตลาดแรงงาน
โดยอาจใช้เอไอวิเคราะห์ข้อมูลเพื่อกำหนดอัตราที่เหมาะสม
นอกจากนี้
ปัจจัยอื่นๆ ที่บริษัทควรพิจารณาเพิ่ม ได้แก่ ความยืดหยุ่นในการทำงาน
การส่งเสริมสมดุลชีวิต โอกาสในการพัฒนาตนเอง สภาพแวดล้อมการทำงานที่ดี
สวัสดิการด้านสุขภาพ และโอกาสความก้าวหน้าในอาชีพ
3)
ใช้เอไอวิเคราะห์และพัฒนาทักษะที่จำเป็นของพนักงาน
เอไอสามารถประมวลผลข้อมูลจากประวัติการทำงาน ผลการประเมิน และกิจกรรมต่างๆ
ของพนักงาน และยังสามารถระบุจุดแข็งและจุดอ่อนของพนักงานแต่ละคนได้อย่างแม่นยำ
ทำให้บริษัทสามารถวางแผนการสรรหาหรือพัฒนาพนักงาน เพื่อเติมเต็มช่องว่างเหล่านั้น
อย่างไรก็ดี
เมื่อไม่นานมานี้มีตัวอย่างจากร้านค้าออนไลน์ที่นำเอไอเข้ามาแทนพนักงานท้องถิ่นที่เงินเดือนสูง
พวกเขาใช้ AI Chatbot เป็นด่านแรกเพื่อตอบคำถามลูกค้า
ถ้ามีปัญหายากๆ ค่อยส่งต่อให้ทีมต่างประเทศที่ค่าแรงถูกกว่า
ดูเหมือนจะเจ๋งใช่ไหม?
ที่สามารถใช้เอไอแล้วลดต้นทุนลงได้ แต่ปัญหาต่อมาคือ ยอดขายร่วง
แถมคุณภาพการบริการก็แย่ลงกว่าเดิม
ตอนนี้ห้องประชุมทั่วโลกกำลังคุยกันว่า
“เมื่อไรเราจะเอา AI มาแทนคนได้สักที”
ผู้บริหารหลายคนมองว่าพนักงานนี่แหละตัวปัญหา ต้องจ่ายเงินเดือน ให้สวัสดิการ
วันหยุด แถมยังต้องดูแลสุขภาพจิต เลื่อนตำแหน่ง ฝึกอบรมอีก
ถ้าเอาเอไอมาแทนได้คงจะดี
Goren
เน้นย้ำว่าผู้บริหารควรมุ่งเน้นการใช้เอไอเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและคุณภาพชีวิตของพนักงาน
แทนที่จะพยายามแทนที่พนักงานทั้งหมด นอกจากนี้
เขาเรียกร้องให้รัฐบาลออกแนวทางการใช้เอไออย่างเหมาะสมเพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตของประชาชน
ที่มา
:
กรุงเทพธุรกิจ
วันที่
18 กรกฎาคม 2567