ในปัจจุบัน
เอไอ หรือปัญญาประดิษฐ์ มีขีดความสามารถเพิ่มขึ้นมาก ทั้งในด้านการสร้างสรรค์ภาษา
รูปภาพ เสียงสังเคราะห์และภาพเคลื่อนไหว เมื่อเร็วๆ นี้ ChatGPT
ของ Open AI เปิดให้บุคคลทั่วไปใช้งาน
ก็สร้างความตื่นตัวเป็นอย่างมากต่อความสามารถของเอไอ
จนอดคิดไม่ได้ถึงผลกระทบต่ออนาคตในด้านต่างๆ ของมนุษย์
โดยเฉพาะในฐานะคนทำงานในแวดวงต่างๆ
ที่จะต้องเตรียมตัวรับมือ โดยพัฒนาทักษะที่จำเป็นในการดำรงอยู่
ในยุคที่เอไอจะมีความสามารถเพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดด
ผู้เขียนลองให้เอไอเขียนเกี่ยวกับทักษะที่จำเป็นในอนาคต
ในบริบทที่ปัญญาประดิษฐ์มีความสามารถมากขึ้น เอไอให้คำตอบว่า
“หนึ่งในการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญที่สุดที่เราคาดว่าจะได้เห็นในอนาคตของทักษะที่จำเป็น
คือทักษะด้านเทคโนโลยีที่จะมีความสำคัญเพิ่มขึ้น
เมื่อเอไอและระบบอัตโนมัติแพร่หลายมากขึ้นในที่ทำงาน ความสามารถในการทำงานร่วมกับเทคโนโลยีเหล่านี้จะมีความสำคัญมากขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งจะรวมถึงทักษะต่างๆ เช่น การเขียนโปรแกรม การวิเคราะห์ข้อมูล และทักษะเกี่ยวกับเทคโนโลยีการเรียนรู้ของเครื่อง (Machine Learning) นอกจากนี้ เมื่องานต่างๆ มีความเป็นอัตโนมัติมากขึ้น ความสามารถในการเข้าใจและทำงานร่วมกับผลลัพธ์ของระบบเหล่านี้จะกลายเป็นสิ่งสำคัญ”
เมื่อเรานำคำตอบที่เอไอได้ผลิตขึ้นมาข้างต้น
มาเปรียบเทียบกับงานวิจัยที่ตีพิมพ์ในบทความของ World Economic
Forum ปี 2566 พบว่า หนึ่งในทักษะที่จะมีความจำเป็นอย่างมากในอนาคต
จากการวิเคราะห์โฆษณางาน
228 ล้านชิ้น คือ ความสามารถในการทำงานเกี่ยวกับเอไอและ Machine
Learning โดยพบว่าในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา
ความต้องการทักษะดังกล่าวได้เติบโตขึ้นถึง 370% ซึ่งแสดงว่า ChatGPT ให้คำตอบที่ใช้ได้เลยทีเดียว
ความสามารถเอไอที่กำลังเติบโตในอัตราทวีคูณได้สร้างความกังวลต่อผู้คนจำนวนไม่น้อย
โดยเฉพาะในประเด็นเรื่องงานในอนาคตที่จะถูกเอไอมาทดแทน จากการคาดการณ์ในรายงาน “The
Future of Jobs Report 2020” โดย World Economic Forum พบว่าภายในปี 2568 จะมีงานจำนวน 85 ล้านตำแหน่งที่ถูกแทนที่โดยเครื่องจักร
รายงานดังกล่าวยังได้คาดการณ์ไว้ว่าจะมีงานจำนวน 97 ล้านตำแหน่งที่ถูกสร้างขึ้นมาใหม่ โดยจะมีลักษณะการทำงานที่เป็นการผสมผสานระหว่างคนและเครื่องจักร นัยสำคัญจากรายงานดังกล่าวคือ งานที่สร้างใหม่จะมากกว่างานที่หายไป
อย่างไรก็ตาม
ผู้ที่ได้รับประโยชน์จากตำแหน่งงานใหม่ก็อาจจะไม่ใช่คนเดียวกับผู้ที่ถูกแทนที่โดยเครื่องจักร
หากคนไม่สามารถพัฒนาทักษะที่สอดรับกับอนาคตได้ทัน
และแนวโน้มก็ดูจะเป็นเช่นนั้น
เนื่องจากการทำงานกับเอไอหรือเทคโนโลยียุคใหม่ต้องการทักษะและความรู้ในขั้นสูงอยู่พอสมควร
ทั้งนี้
แม้ว่าความสามารถของเอไอจะพัฒนามากขึ้นในอนาคตอันใกล้ แต่การทำงานของเอไออย่าง ChatGPT
ในปัจจุบันก็ยังคงมีข้อจำกัดอยู่ไม่น้อย เช่น คำตอบที่ ChatGPT
สร้างขึ้นมาเป็นการดึงข้อมูลที่มีอยู่แล้วจนถึงปี 2564
ซึ่งอาจมีความล้าหลัง ถึงแม้ว่าในเชิงของความถูกต้องของข้อมูล ChatGPT สามารถทำได้ดีมากในระดับพื้นฐาน
แต่ในบริบทการวิจัย
ซึ่งต้องใช้ความลึกและความครบถ้วนของข้อมูลสูง รวมถึงการอ่านระหว่างบรรทัด ChatGPT
อาจจะยังลงลึกขนาดนั้นไม่ได้
ส่วนหนึ่งเป็นเพราะการที่จะได้คำตอบเชิงลึกนั้นต้องขึ้นอยู่กับความรู้และคำถามของผู้ใช้ด้วย
นอกจากนี้
เนื่องจากว่า ChatGPT ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อให้สามารถสร้างประโยคและข้อความได้อย่างสร้างสรรค์
(บนพื้นฐานของการคำนวณทางคณิตศาสตร์และสถิติ)
ซึ่งมีความคิดเห็นและข้อมูลที่ผิดพลาดอยู่ ต่างจากการค้นหาข้อมูลแบบดั้งเดิมบน Google
ที่ผู้ใช้สามารถคัดกรองแหล่งข้อมูลได้
ข้อบกพร่องสำคัญของ
ChatGPT
คือความมั่นใจในความถูกต้องของคำตอบ
หรือวิธีการเสนอคำตอบซึ่งดูเป็นความจริง หรือ “fact-based” แม้อาจจะเป็นคำตอบที่ไม่ครบถ้วน
หรือแม้กระทั่งผิด ส่งผลให้ผู้ใช้มีความเชื่อใจและนำข้อมูลที่ผิดพลาดไปใช้งาน
ผู้ใช้จึงจำเป็นที่จะต้องตรวจสอบข้อมูลกับที่มาอื่นๆ
ด้วย ซึ่งเมื่อผู้เขียนบทความลองถาม ChatGPT ถึงที่มาของคำตอบที่ได้สร้างขึ้นมาก่อนหน้า
พบว่า ChatGPT ไม่สามารถระบุที่มาของคำตอบ
เพราะฉะนั้นแล้ว
สิ่งที่สำคัญที่องค์กร สถาบันการศึกษา รวมถึงรัฐบาลต้องทำเพื่อให้แรงงานในอนาคตสามารถปรับตัวในวันที่เอไอมีความฉลาดมากขึ้น
คือ
การลงทุนในการศึกษาและการฝึกอบรมเพื่อพัฒนาทักษะที่จำเป็นสำหรับอนาคตของการทำงาน
โดยเน้นไปที่ทักษะด้านเทคโนโลยีและซอฟต์สกิล
เพื่อให้บุคลากรสามารถทำงานร่วมกับนวัตกรรมปัญญาประดิษฐ์ในอนาคต หรือที่ Harvard
Business Review เรียกว่า hybrid Human/AI work อย่างมีประสิทธิผล
โดยสามารถใช้เอไอเป็นหนึ่งในเครื่องมือฝึกอบรมเพื่อพัฒนาทักษะ
ท้ายนี้
รัฐบาลและองค์กรควรทำงานร่วมกัน
เพื่อพัฒนาแนวทางและนโยบายที่ส่งเสริมการเข้าถึงเทคโนโลยีอย่างเท่าเทียมกันของประชากร
รวมถึงฝึกทักษะใหม่ๆ ให้แก่บุคลากรที่ถูกเอไอทดแทน
เพื่อให้ความไม่เท่าเทียมกันในการเข้าถึงข้อมูลและการใช้ประโยชน์จากปัญญาประดิษฐ์เกิดขึ้นน้อยที่สุด
ที่มา :
กรุงเทพธุรกิจ
วันที่ 27
มกราคม 2566