กระทรวง
อว. ร่วมกับ กระทรวงดีอี เตรียมนำ 6 โปรเจกต์ ดันแผนเอไอประเทศไทยระยะสอง
(พ.ศ.2567-2570) ครอบคลุมทุกมิติ
ยุคที่ทุกอย่างเปลี่ยนแปลงรวดเร็ว
เทคโนโลยีดิจิทัลเป็นส่วนสำคัญสำหรับอุตสาหกรรมและธุรกิจ
ทั่วโลกกำลังพัฒนาเอไอเพื่อใช้ภายในประเทศและแข่งขัน
ใครเริ่มได้เร็วก่อนกลายเป็นผู้ได้เปรียบ โดยในปี 2573
คาดการณ์ตลาดเอไอจะสร้างมูลค่าถึง 2 ล้านล้านดอลลาร์ ซึ่งเติบโตถึง 20 เท่าจากปี
2564
กระทรวงการอุดมศึกษา
วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) ริเริ่มแผนเอไอประเทศไทยมาตั้งแต่ปี 2565
พร้อมๆ กับการเกิดนวัตกรรมที่เกี่ยวข้อง เช่น OpenThaiGPT แชตบอตตอบคำถามฉบับภาษาไทยตลอดจนจัดทำคู่มือจริยธรรมเอไอเล่มแรกของประเทศ
ล่าสุดปี
2567 อว.ร่วมกับกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) หารือ (ร่าง)
โครงการนำร่องภายใต้การขับเคลื่อนแผนปฏิบัติการด้านปัญญาประดิษฐ์แห่งชาติเพื่อการพัฒนาประเทศไทย
ระยะที่ 2 (พ.ศ.2567-2570) เกิดเป็น “6 โปรเจกต์ ดันแผน AI
ประเทศไทยครอบคลุมทุกมิติ”
แผนเอไอระยะ
1 และ 2
ชัย
วุฒิวิวัฒน์ชัย คณะกรรมการขับเคลื่อนแผนปฏิบัติการเอไอ
ผู้อำนวยการศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ (เนคเทค) กล่าวว่า
ไทยไม่ได้หยุดนิ่งกับการพัฒนาเอไอ โดย 2 ปีมานี้
เรามีซูเปอร์คอมพิวเตอร์ที่มีประสิทธิภาพสูงที่สุดในอาเซียน “ลันตา (LANTA)”
มีแพลตฟอร์มกลางบริการเอไอบนคลาวด์ภาครัฐ (GDCC) มีศูนย์ธรรมาภิบาลปัญญาประดิษฐ์
เพื่อส่งเสริมให้ใช้เอไออย่างถูกต้องและมีความรับผิดชอบ
ด้านนวัตกรรมและการประยุกต์ใช้มีหน่วยงานภาครัฐใน
76 จังหวัด นำระบบวิเคราะห์เพื่อสนับสนุนการแก้ปัญหาความยากจนแบบชี้เป้า (TPMAP)
เข้าไปขับเคลื่อนการขจัดความยากจนและพัฒนาคนทุกช่วงวัย
การดำเนินงานส่งผลให้ปัจจุบันมีบุคลากรเข้ารับการอบรม
83,721 คน มีโครงการวิจัยและพัฒนาด้านเอไอในกองทุนวิจัยมูลค่า 1,290 ล้านบาท
มีสตาร์ตอัปลงทุนเพิ่มจากการส่งเสริมของรัฐมูลค่า 639 ล้านบาท
นอกจากนี้
การจัดอันดับดัชนีความพร้อมด้านเอไอของรัฐบาล (AI Government
Readiness Index) ประเทศไทยเลื่อนอันดับขึ้นจาก 59 เป็น 31
ทันทีที่มีแผนปฏิบัติการเอไอในปี 2565
อย่างไรก็ตาม
ดัชนีความพร้อมด้านเอไอปีล่าสุด 2023 ไทยหล่นมาอยู่ในลำดับที่ 37
คณะทำงานจึงร่วมกันวิเคราะห์และสรุปเป็น 3 ปัจจัยหลักที่ทำให้ดัชนีของไทยต่ำลง
ได้แก่ 1.Technology Development 2.Human
Capital และ 3. Data Representation ทั้ง 3
เรื่องนี้จึงเป็นประเด็นสำคัญที่ต้องร่วมกันแก้ไข
“รัฐบาลและภาคส่วนที่เกี่ยวข้องมองว่า
6 โปรเจกต์เป็นเสมือน Flagship Projects โดยแผนปฏิบัติการเอไอระยะที่
1 มุ่งเน้นกลุ่มเกษตรและอาหาร กลุ่มการใช้งานและบริการภาครัฐ
และกลุ่มการแพทย์และสุขภาพ”
ส่วนแผนปฏิบัติการเอไอระยะที่
2 คณะทำงานได้เข้าสัมภาษณ์เชิงลึกหน่วยงานตามกลุ่มอุตสาหกรรมเป้าหมายเพิ่มเติม
ได้แก่ กลุ่มอุตสาหกรรมท่องเที่ยว กลุ่มอุตสาหกรรมการค้า
อุตสาหกรรมการค้าและการเงิน กลุ่มอุตสาหกรรมความมั่นคง กลุ่มอุตสาหกรรมการผลิต
ซึ่งจะช่วยให้ระบบนิเวศปัญญาประดิษฐ์ของประเทศไทยมีความร้อยเรียงและเข้มแข็งมากขึ้น
·
6 โปรเจกต์นำร่อง
1.
พัฒนาศูนย์กลางเชื่อมโยงและการบริการข้อมูลด้านการท่องเที่ยว (Travel
Link) เชื่อมโยงข้อมูลที่เกี่ยวข้องทั้งจากภาครัฐและเอกชน
เช่น
ข้อมูลนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติที่เข้าไทยรายวัน
ข้อมูลการใช้จ่ายในแต่ละพื้นที่จากโครงการเที่ยวด้วยกัน
ข้อมูลความคิดเห็นของนักท่องเที่ยวจากอินเทอร์เน็ต โดยข้อมูลเหล่านี้จะนำมาจัดทำ Data
Catalog และแชตบอตการท่องเที่ยวด้วย GenAI
ภาครัฐสามารถวางแผนและการจัดสรรทรัพยากรในพื้นที่ท่องเที่ยว
เพื่อลดการกระจุกตัวของนักท่องเที่ยวในเมืองหลัก ภาคเอกชน
สามารถนำข้อมูลเชิงลึกไปใช้พัฒนาการแข่งขันทางธุรกิจ
และพัฒนาบริการ-ผลิตภัณฑ์ให้ตอบโจทย์ลูกค้า
ด้านนักท่องเที่ยวสามารถวางแผนการท่องเที่ยวและค้นหาข้อมูลได้สะดวกขึ้น
2.
โครงการ Strengthening
Fraud Detection Ecosystem with Data Lab ออกแบบและพัฒนาระบบแลกเปลี่ยนและเชื่อมโยงข้อมูลการกระทำทุจริตในธุรกรรมทางการเงินต่อประชาชน
มุ่งเน้นที่การเชื่อมโยงกับระบบของผู้ใช้บริการทางการเงินในภาคธนาคาร
ตามมาตรา 4 (Central Fraud Registry: CFR) รวมทั้งพัฒนาและประยุกต์ใช้
AI Model ตรวจจับและป้องกันการกระทำทุจริตในธุรกรรมทางการเงินที่ต้องสงสัย
3.
ส่งเสริมการประยุกต์ใช้เอไออย่างมีธรรมาภิบาล
สนับสนุนการพัฒนางานวิจัยสำหรับเซคเตอร์หรือ Regulator
4.
พัฒนาโมเดลภาษาขนาดใหญ่ภาษาไทย (Thai LLM)
5.พัฒนาเทคโนโลยีการยืนยันตัวตนบุคคลด้วยข้อมูลชีวมิติ
(Digital
ID) รวมถึงพัฒนาเทคโนโลยีตรวจจับการปลอมแปลงข้อมูลชีวมิติ
6.สร้าง
AI-based
Machine Vision ส่งเสริมการขยายผลวิจัย
และเพิ่มผลผลิตของภาคอุตสาหกรรม
ที่มา
:
กรุงเทพธุรกิจ
วันที่
22 มีนาคม 2567