การเติบโตอย่างมหาศาลของ AI
ทำให้หลายๆ องค์กร หลายๆ บริษัท กลัวจะตกขบวน
พลังในการประมวลผลของคอมพิวเตอร์ถูกพัฒนามาอย่างยาวนาน
แต่มันก็เป็นเพียงเครื่องจักรที่ไม่มีสติปัญญา ไม่สามารถตระหนักรู้และไม่รู้จักคิดได้ด้วยตัวเอง
จนกระทั่งปี 1997 คอมพิวเคอร์ดีพบลู
ของไอบีเอ็มสามารถเอาชนะแชมป์โลกหมากรุกคือแกรี คาสปารอฟได้เป็นครั้งแรกในโลก
หลังจากนั้นเป็นต้นมา
โลกก็เริ่มคุ้นเคยกับคำว่าปัญญาประดิษฐ์ หรือ AI ที่ย่อมาจากคำว่า
Artificial Intelligence อันหมายถึงคอมพิวเตอร์ที่รู้จักคิดได้เอง
โดยหลังปี 2012 เราก็ได้รู้จักเรื่องของ Machine
Learning อันหมายถึงการถ่ายทอดข้อมูลและความรู้ต่างๆ
ให้คอมพิวเตอร์เพื่อคิดและตัดสินใจแทนมนุษย์ได้
ในมุมมองของคนทั่วไปจะเห็นความก้าวหน้าของระบบ
AI
จากแอพลิเคชันอันทันสมัยต่างๆ เช่นระบบจดจำใบหน้า
ซึ่งใช้กันอย่างแพร่หลายในปัจจุบัน ตัวอย่างเช่น
อาคารสำนักงานรุ่นใหม่ที่นิยมใช้ใบหน้าบันทึกเวลาเข้าทำงานหรือระบบยืนยันตัวตนเพื่อรักษาความปลอดภัย
เช่นเดียวกับธนาคารและสถาบันการเงินหลายๆ
แห่งก็เตรียมใช้ระบบยืนยันตัวตนด้วยใบหน้าเพื่อการทำธุรกรรมเช่นเปิดบัญชี
ซึ่งในอนาคตก็จะเห็นการใช้งานที่หลากหลายมากขึ้นรวมไปถึงการถอนเงินที่ตู้เอทีเอ็มทำให้ลูกค้าไม่ต้องจดจำรหัสที่ยุ่งยากอีกต่อไป
รวมไปถึงระบบการจดจำด้วยเสียง และการใช้งานด้วยคำสั่งเสียง
ซึ่งกลายเป็นเรื่องปกติธรรมดาไปแล้วในทุกวันนี้ ซึ่งเป็นการทะลุขีดจำกัดเดิมๆ
ทำให้สิ่งที่เราเคยจินตนาการกันไว้หรือมีให้เห็นเพียงนิยายวิทยาศาสตร์กลายเป็นสิ่งที่ใช้งานได้จริงในปัจจุบัน
เมื่อเทคโนโลยีด้าน AI,
Big Data, IoT ก้าวหน้าขึ้น คนทั่วไปก็เริ่มเห็นถึงพลังในการประมวลผลและการตัดสินใจอย่างมีประสิทธิภาพของคอมพิวเตอร์
ความวิตกกังวลถึงผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นก็เริ่มมีให้เห็นมากขึ้น
โดยเฉพาะอาชีพดั้งเดิมจำนวนมากที่อาจถูก AI เข้ามาทำงานแทนที่
เพราะภาคธุรกิจและอุตสาหกรรมมองเห็นประโยชน์ของ
AI
ที่สามารถเข้ามาทำงานหลายๆ อย่าง ที่เน้นการทำงานซ้ำๆ
หรือการทำงานตามระบบ ไม่จำเป็นต้องใช้วิจารณญาณมากนัก
จึงช่วยลดจำนวนพนักงานและลดค่าใช้จ่ายลงได้มหาศาล
ธุรกิจขนาดใหญ่จึงหันมาลงทุนในด้าน AI
กันอย่างคึกคัก รวมไปถึงการลงทุนในธุรกิจสตาร์ตอัพด้าน AI,
Big Data ของเหล่านักลงทุนทั้งที่เป็นสถาบัน หรือนักลงทุนอิสระ
ซึ่งเป็นปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นทั่วโลกรวมถึงในบ้านเรา
แต่การเติบโตอย่างมหาศาลของเทคโนโลยี AI
ทำให้หลายๆ องค์กร หลายๆ บริษัท กลัวจะ “ตกขบวน”
จึงหันมาลงทุนด้านนี้กันอย่างฉุกละหุก โดยที่ยังไม่เข้าใจอย่างถ่องแท้ว่า AI
คืออะไร และจะเข้ามาช่วยงานเราได้อย่างไร
ผลก็คือการลงทุนโดยไม่ได้รู้ความต้องการที่แท้จริงของตัวเอง
หรือหวังให้ AI เป็นพระเอกขี่ม้าขาว
เข้ามาช่วยให้บริษัทผ่านพ้นวิกฤติเศรษฐกิจในปัจจุบันไปได้
ซึ่งเป็นไปไม่ได้เลยเพราะเรายังไม่รู้จักมันดีพอ ซึ่งปัญหานี้แก้ได้ไม่ยากด้วยการ
“เรียนรู้” แก่นแท้ของมันให้มากที่สุด
รายละเอียดจะเป็นอย่างไรนั้นติดตามต่อในฉบับหน้าครับ...
ที่มา :
กรุงเทพธุรกิจ
วันที่ 25
กรกฎาคม 2565