“แม่นยำ” และ “รวดเร็ว”
คีย์สำคัญในความพึงพอใจของลูกค้าที่เปิดประตูสู่การเติบโตอย่างมั่นคงและความยั่งยืนของ
“เจดับเบิ้ลยูดี” หลังการตัดสินใจประกาศตัวเป็นผู้บุกเบิกด้านคลังสินค้าโรโบติกส์
เพิ่มศักยภาพสู่ Smart Warehouse
เจดับเบิ้ลยูดีได้นำเทคโนโลยีโรโบติกส์เข้ามาใช้กับคลังสินค้าห้องเย็นในจังหวัดสมุทรสาครเป็นครั้งแรกในปี
2562 เพื่อเพิ่มขีดความสามารถจัดเก็บสินค้า
แก้ไขปัญหาแรงงานขาดแคลน เพิ่มความรวดเร็ว แม่นยำ ปลอดภัย ลดการใช้พลังงานไฟฟ้า
ชวนินทร์ บัณฑิตกฤษดา ประธานกรรมการบริหารและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร
บริษัท เจดับเบิ้ลยูดี อินโฟ โลจิสติกส์ จำกัด (มหาชน) หรือ JWD ผู้ให้บริการด้านโลจิสติกส์และซัพพลายเชนระดับอาเซียน กล่าวว่า
การก้าวเป็นผู้ริเริ่มการทำ Smart Warehouse สิ่งที่จะเกิดขึ้นสิ่งแรกคือการยกระดับมาตรฐานการให้บริการของอุตสาหกรรมคลังสินค้า และโลจิสติกส์ ให้เปลี่ยนแปลงไปจากเดิม
อีกทั้งยังเป็นการขับเคลื่อนอุตสาหกรรมคลังสินค้า และโลจิสติกส์ของประเทศไทย
สร้างความน่าเชื่อถือในการร่วมทุน
หรือลงทุนกับพาร์ตเนอร์ผู้ประกอบการท้องถิ่นในระดับประเทศ รวมทั้งระดับภูมิภาคอาเซียนต่างๆ
ในอนาคตอันใกล้
ปัจจุบันมีคลังสินค้าห้องเย็นโรโบติกส์ที่เปิดให้บริการแล้ว 3 อาคาร คิดเป็นพื้นที่จัดเก็บสินค้ารวม 21,000
ตารางเมตร หรือ 46,000 พาเล็ต
และกำลังดำเนินการก่อสร้างอีก 3 อาคาร ในจังหวัดสระบุรี
สมุทรสาครและย่านบางนา
คาดว่าจะทยอยแล้วเสร็จในไตรมาส 3 และ 4 ของปีนี้ ซึ่งทั้ง 3 แห่งจะเพิ่มพื้นที่จัดเก็บสินค้ารวมอีก 17,000 ตารางเมตร หรือ 40,000 พาเล็ต รวมเป็น 38,000 ตารางเมตร หรือ 86,000 พาเล็ต
นอกจากนี้ยังมีคลังสินค้าจัดเก็บเอกสารโรโบติกส์ที่เปิดให้บริการแล้วอีก 1 อาคาร ในย่านสุวินทวงศ์ จังหวัดฉะเชิงเทรา
มีพื้นที่จัดเก็บเอกสารเกือบ 5,000 ตารางเมตร หรือประมาณ 745,000
กล่อง
จึงนับเป็นผู้ประกอบการรายแรกในประเทศไทยที่ให้บริการคลังสินค้าจัดเก็บเอกสารโรโบติกส์
JWD มีแผนพัฒนาคลังสินค้าโรโบติกส์อย่างต่อเนื่อง
โดยนำเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (เอไอ) และนวัตกรรมทางเทคโนโลยีอื่นๆ
เข้ามาปรับใช้ในกระบวนการทำงานอื่นนอกจากการจัดเก็บสินค้า
โดยเฉพาะช่วงวิกฤติโควิด-19 ที่ผ่านมา
ลูกค้าส่วนใหญ่ให้ความสำคัญกับความปลอดภัยของการจัดเก็บสินค้ามากยิ่งขึ้น
โดยเฉพาะการฆ่าเชื้อและการลดการสัมผัสสินค้า
ทางคลังสินค้าจึงได้เริ่มทดลองเชื่อมต่อเทคโนโลยี AI เข้ากับกล้องเพื่อจับภาพสินค้าอาหารทะเลบนสายพานลำเลียงเพื่อทำการคัดแยกสายพันธุ์ปลาแทนการใช้แรงงานคัดแยก
บริษัทได้พัฒนาระบบกล้องให้รองรับการเชื่อมต่อกับกิจกรรมดังกล่าวและดำเนินการขอจดอนุสิทธิบัตรจากกรมทรัพย์สินทางปัญญา รวมถึงนำระบบแชตบอท (Chat Bot) เข้ามาปรับใช้เป็นพี่เลี้ยงฝึกอบรมพนักงาน ติดตามพนักงานใหม่ที่เข้าทำงาน และต่อยอดสู่การพัฒนาข้อมูลด้านอื่น ๆ
ระบบโรโบติกส์
เป็นการนำเครื่องจักร และเทคโนโลยีเข้ามาทำงานแทนคน
โดยการควบคุมด้วยระบบสั่งการของคอมพิวเตอร์ โรโบติกส์ที่บริษัทใช้มีการออกแบบและพัฒนาร่วมกับทางซัพพลายเออร์
หรือผ่านการพัฒนาต่อยอดจากโปรแกรมสำเร็จรูปต่างๆ
ทำให้ระบบตอบสนองการทำงานได้อย่างถูกต้องและมีประสิทธิภาพ
สำหรับเงินลงทุนภาพรวมทั้งหมดประมาณ 700 ล้านบาท ในปี 2564 และมีการลงทุนเพิ่มในปี 2565
อีก 1,600 ล้านบาท รวมเป็น 2,300 ล้านบาท เป็นส่วนทั้งที่ดิน การก่อสร้าง ระบบทำความเย็น ระบบ ASRS และอุปกรณ์ที่ใช้ภายในคลังสินค้าทั้งหมด
ในอนาคตมีแนวโน้มที่นำระบบการใช้งานระบบโรโบติกส์มาใช้กับคลังสินค้าทุกแห่งของบริษัท จากความตั้งใจที่จะนำมาปรับปรุงและพัฒนารูปแบบในการให้บริการ เพื่อตอบสนองความต้องการของทางลูกค้าให้มีความพึงพอใจสูงสุด
จากภาพรวมที่มีการใช้งานมา ลูกค้ามีความประทับใจในระบบนี้อย่างมาก
และเรามีแผนนำระบบ โรโบติกส์ เชื่อมต่อเข้ากับระบบ Fulfillment ต่อในอนาคต
ประโยชน์ที่ได้จากการนำระบบโรโบติกส์มาใช้
ที่โดดเด่นสุดคือ
1.ช่วยเพิ่มขีดความสามารถในการจัดเก็บสินค้าได้สูงสุดถึง 16 ชั้น จากเดิมเพียง 5 ชั้น
และทำงานได้ในสภาวะที่พนักงานปกติทำงานได้ยากลำบาก เช่น ในที่อุณหภูมิติดลบ (-20°C)
หรืออุณหภูมิสูงกว่าปกติ โดยไม่พึ่งพาแสงสว่าง
2.ความรวดเร็ว แม่นยำ การจัดเก็บสินค้าโดยเฉพาะระบบ ASRS เป็นลักษณะการจัดเก็บสินค้าแบบอัตโนมัติ โดยใช้ระบบขับเคลื่อนในการนำสินค้าไปส่งที่เครน
และยกขึ้นไปจัดเก็บในชั้นวางสูงถึง 16 ชั้น
ในส่วนของความรวมเร็วนั้นสามารถฝากและเบิกสินค้า 40 พาเลทต่อชั่วโมง ซึ่งเป็นการทำงานที่รวดเร็วมากยิ่งขึ้น รวมทั้งในส่วนของความแม่นยำในการทำงานต่างๆ ยังไม่พบข้อผิดพลาดเนื่องจากเป็นการทำงานผ่านระบบคอมพิวเตอร์ทั้งหมด
(เปรียบเทียบกับระบบแบบเดิม: ASRS ใช้ระยะเวลาในการจัดเก็บและหยิบสินค้าไม่เกิน
3 นาทีต่อ 1 rack จากเดิมใช้เวลา 10
นาที สำหรับระบบ mobile palter และใช้เวลา 30
นาทีสำหรับระบบชั้นวางแบบดั้งเดิม (rack)
3.การลดค่าไฟ 30-50% การนำระบบโรโบติกส์มาใช้งานในส่วนของการจัดเก็บสินค้านั้น
ทำให้ไม่จำเป็นต้องมีการเปิดใช้งานระบบแสงสว่าง
เนื่องจากไม่มีพนักงานเข้าไปปฏิบัติงาน
รวมถึงการเปิดปิดประตูห้องที่มีขนาดเท่ากับสินค้า
ทำให้ความเย็นภายในห้องไหลออกสู่ด้านนอกน้อยกว่าประตูลักษณะเดิมที่ต้องมี Forklift
วิ่งผ่าน ทำให้คอมเพลสเซอร์ไม่ต้องทำงานหนัก
จึงช่วยลดต้นทุนในส่วนของค่าไฟฟ้าลง
4.การใช้แรงงานน้อยลงสามารถลดปัญหาเรื่องแรงงานขาดแคลนลงได้
โดยในการทำงานที่จัดเก็บสินค้ามากกว่าคลังสินค้าทั่วไป
เราสามารถลดจำนวนพนักงานที่ใช้ในการขับโฟร์คลิฟท์สำหรับฝากและเบิกสินค้าลงได้มากถึง
50%.
ที่มา : กรุงเทพธุรกิจ
วันที่ 25 กรกฎาคม 2565