ในยุครถยนต์ไฟฟ้าที่กำลังเบ่งบาน ‘อะลูมิเนียม’ ได้สวมบทบาท Advanced Materials ที่เข้ามาปลดล็อกให้อุตสาหกรรมยานยนต์เดินหน้าพร้อมไปกับการลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์
“Advanced Materials” คือ วัสดุชั้นสูง หรือ วัสดุเชิงก้าวหน้า โดยไม่จำกัดประเภทวัสดุ
ซึ่งวัสดุในกลุ่มนี้มีความต้องการมากขึ้นอย่างต่อเนื่องสอดคล้องไปกับความก้าวหน้าของเทคโนโลยีที่ไม่หยุดนิ่ง
ผศ.ดร.พร้อมพงษ์ ปานดี
อาจารย์ประจำภาควิชาวิศวกรรมอุตสาหการ คณะวิศวกรรมศาสตร์
มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี ให้สัมภาษณ์กับ M
Report ถึงความสำคัญของอะลูมิเนียมในฐานะหนึ่งใน Advanced
Materials แห่งยุคยานยนต์ไฟฟ้าไว้ดังนี้
‘อะลูมิเนียม’ กับบทบาท Advanced
Materials แห่งยุคยานยนต์ไฟฟ้า
ผศ.ดร.พร้อมพงษ์ เปิดประเด็นถึงความน่าสนใจของอะลูมิเนียมซึ่งเป็นโลหะน้ำหนักเบา
มีความแข็งแรงต่อน้ำหนักสูง มีความหนาแน่นน้อยกว่าเหล็กถึง 3 เท่า ขึ้นรูปได้ง่าย
และสามารถขึ้นรูปได้หลายวิธี
ทำให้อะลูมิเนียมเป็นวัสดุที่ถูกใช้ในการผลิตสินค้าต่าง ๆ มาอย่างยาวนาน
โดยปัจจุบันมีการนำไปใช้งานอย่างแพร่หลาย และมีความต้องการเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง
ข้อดีของอะลูมิเนียมไม่ได้มีเพียงการลดน้ำหนักเท่านั้น
แต่ยังสามารถรีไซเคิลและนำกลับมาใช้ใหม่ได้เกือบ 100% ด้วยเหตุนี้
สินค้าหลายชนิดที่ผลิตจากอะลูมิเนียมจึงเป็นการนำวัสดุจากการรีไซเคิลกลับมาใช้งาน
สำหรับการรีไซเคิลอะลูมิเนียมนั้นทำได้โดยวิธีการหลอม
ซึ่งใช้พลังงานในรีไซเคิลน้อยกว่าการถลุงจากสินแร่เป็นอย่างมาก โดยหากดำเนินการด้วยเทคนิคที่เหมาะสม
จะทำให้ได้คุณภาพของผลิตภัณฑ์อะลูมิเนียมที่ยังดีเช่นเดิม
นอกจากนี้
การผลิตชิ้นงานอะลูมิเนียมด้วยวิธีการหล่อฉีดขึ้นรูป (Aluminum
Die Casting) จะได้ชิ้นงานที่มีรูปทรง “Near net shape” ซึ่งเป็นชิ้นงานที่มีรูปทรงใกล้เคียงกับชิ้นงานสุดท้ายที่ต้องการ
ทำให้ลดขั้นตอนในการเก็บรายละเอียดลง จึงสามารถผลิตงานได้อย่างรวดเร็ว
และรองรับการผลิตงานที่มีรูปทรงซับซ้อนได้ดี
หากจะกล่าวว่า
“อะลูมิเนียม” เป็น “วัสดุที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม”
ก็เป็นคำกล่าวที่หลายฝ่ายยอมรับ ซึ่งอะลูมิเนียมยังมีบทบาทสำคัญต่อหลายผลิตภัณฑ์ที่มองหาความเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมตลอดวัฏจักรชีวิตของผลิตภัณฑ์อีกด้วย
ด้วยเหตุผลเหล่านี้ ทำให้ “อะลูมิเนียม” เป็นที่สนใจของคณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี ซึ่งเล็งเห็นศักยภาพของอะลูมิเนียมในการตอบโจทย์อนาคตของโลกที่ต้องรับแรงกดดันในเรื่องสิ่งแวดล้อมมากขึ้นเรื่อย ๆ นำไปสู่งานวิจัยอะลูมิเนียมอัลลอยเกรดใหม่
เครื่องฉีดไดคาสติ้ง
แบรด์ Bühler รุ่น ECOLINE S
ณ
คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี
“Al–Ni alloy” งานวิจัยที่ถูกนำไปต่อยอด หลังตีพิมพ์ในวารสารระดับโลก
อย่างไรก็ดี
“อะลูมิเนียม” ไม่ใช่วัสดุที่ดีทุกด้าน
ด้วยจุดหลอมเหลวต่ำทำให้ทนต่อความร้อนได้ไม่ดีเท่าเหล็ก
อีกทั้งยังมีความสามารถในการรับแรงล้า (Fatigue) ต่ำกว่าเหล็ก ไปจนถึงการสูญเสียความคงทนเมื่ออุณหภูมิสูงขึ้น
แต่ข้อดีมากมายของอะลูมิเนียมได้สร้างแรงจูงใจให้ผู้ผลิตต้องการอะลูมิเนียมที่แข็งแรงขึ้น
ทนอุณหภูมิได้สูงขึ้น นอกจากนี้ ยังต้องมีคุณสมบัติในการหล่อที่ดีขึ้นด้วย เช่น
การไหลตัวของอะลูมิเนียมหลอมเหลว ความต้านทานต่อการแตกร้าวขณะร้อน เป็นต้น
อะลูมิเนียมอัลลอยที่ถูกใช้อย่างแพร่หลายในงานหล่อขึ้นรูปปัจจุบัน
คือ อะลูมิเนียมซิลิคอน (Al-Si alloy) เนื่องจากหล่อได้ง่าย
ทนทานต่อการกัดกร่อน รองรับการเชื่อม
โดยอะลูมิเนียมอัลลอยเกรดนี้มักนำมาผสมกับทองแดงหรือแมกนีเซียมเพื่อให้มีคุณสมบัติดีขึ้น
แต่ทว่า อะลูมิเนียมซิลิคอนก็ยังมีข้อด้อยที่ทนต่อความร้อนได้ไม่ดีนัก และนี่เองคือโจทย์ในการทำวิจัยของ
ผศ.ดร.พร้อมพงษ์ ปานดี จนได้เป็น “Al–Ni alloy”
“อะลูมิเนียมนิกเกิลอัลลอย
(Al–Ni
alloy) คือ
อะลูมิเนียมอัลลอยชนิดใหม่ที่เกิดจากการเติมนิกเกิลเข้าไปในอะลูมิเนียม
ทำให้มีความเสถียรของโครงสร้างสูง สามารถทนต่อความร้อนได้ดีกว่าอะลูมิเนียมซิลิคอนอัลลอย”
โดยในกรณีที่ผสมนิกเกิลในอัตราส่วน 6%
ของน้ำหนักทั้งหมด จะได้อะลูมิเนียมนิกเกิลอัลลอยที่มีอุณหภูมิยูเทคติกที่ 640
องศาเซลเซียส อย่างไรก็ตาม เนื้อพื้น (matrix) ของอะลูมิเนียมนิกเกิลอัลลอยนั้นไม่คงทนมากนัก
เนื่องจากนิกเกิลหลอมละลายเข้ากับอะลูมิเนียมได้น้อย
จึงจำเป็นต้องเติมธาตุผสมรองเพิ่มเข้าไป เพื่อปรับปรุงสมบัติเชิงกลให้ดียิ่งขึ้น
อะลูมิเนียมนิกเกิลอัลลอยผ่านการทดสอบอัตราส่วนของนิกเกิลที่หลากหลาย
เพื่อให้ได้สมบัติของความแข็งแรงและความต้านทานแรงดึงสูงสุด
และได้รับการพิสูจน์แล้วว่าเป็นโลหะผสมอะลูมิเนียมที่มีแนวโน้มว่าจะทนต่ออุณหภูมิสูงได้ดี
งานวิจัยชิ้นนี้ของ
ผศ.ดร.พร้อมพงษ์ ปานดี และทีมวิจัยได้รับการตีพิมพ์ในวารสารวิชาการ Materials
Science and Engineering A ฉบับที่ 709 ในปี 2018 และวารสารวิชาการ Acta
Materialia ฉบับ 164 ในปี 2019 และถูกนำไปต่อยอดโดย Tesla ผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้าซึ่งได้จดสิทธิบัตรในปี 2020 (เลขที่ WO2020/028730A1)
‘ชิ้นส่วนอะลูมิเนียมในยานยนต์’
กำลังเติบโต
ข้อมูลจากบูห์เล่อร์
(Bühler)
บริษัทสัญชาติสวิสซึ่งมีชื่อเสียงไปทั่วโลกในฐานะผู้พัฒนาโซลูชันกระบวนการที่ดีที่สุดตามห่วงโซ่คุณค่าที่สมบูรณ์สำหรับอาหารสุขภาพดี
(Healthy Food) และการเคลื่อนย้ายที่สะอาด (Clean
Mobility) เปิดเผยว่า
ปัจจุบันการผลิตชิ้นส่วนโครงสร้างยานยนต์จากอะลูมิเนียมฉีดขึ้นรูปกำลังเติบโตอย่างต่อเนื่อง
สอดรับการความต้องการลดน้ำหนักยานยนต์เพื่อลดการใช้พลังงาน ช่วยลดการปลอยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์และก๊าซเรือนกระจกอื่นๆ
ออกสู่บรรยากาศโลก
สำหรับการลดน้ำหนักยานยนต์นั้น ไม่เพียงแต่โครงสร้างตัวถังยานยนต์ที่ผลิตจากอะลูมิเนียมเท่านั้น แต่ยังมีการรวมชิ้นส่วนหลายชิ้นให้เป็นชิ้นเดียวกันอีกด้วย ซึ่งยังมีอีกหลายชิ้นส่วนที่มีการพัฒนาในแนวทางเหล่านี้ซึ่งรวมถึงกล่องแบตเตอรี่ (Battery Housing) ที่จะมีความต้องการเพิ่มขึ้นอย่างมากในอนาคต
เทคโนโลยีการผลิตใหม่
ๆ เหล่านี้ นอกจากจะตอบโจทย์การลดน้ำหนักยานยนต์แล้ว ยังเพิ่มความเสถียรในการทำงาน
ความแข็งแกร่ง และความปลอดภัยให้สอดรับกับความต้องการของยานยนต์สมัยใหม่อีกด้วย
แนวโน้มเหล่านี้ทำให้จำนวนชิ้นส่วนยานยนต์ในอนาคตจะลดลง
โดยทั่วไปแล้ว รถยนต์ที่ใช้เครื่องยนต์สันดาปภายในมีจำนวนชิ้นส่วนที่เคลื่อนไหว (Moving
Parts) อยู่ที่ 2,000 ชิ้น
ในขณะที่รถอีวีจะมีจำนวนชิ้นส่วนเหล่านี้เหลือเพียง 18 - 20 ชิ้นเท่านั้น
ซึ่งการผลิตชิ้นส่วน Moving Parts จากอะลูมิเนียมในยานยนต์นั้นจะใช้เทคโนโลยีการฉีดขึ้นรูปด้วยแรงด้นสูง
หรือที่เรียกว่า “High Pressure Die Casting (HPDC)”
ชิ้นส่วนอะลูมิเนียมไดคาสติ้งในยานยนต์
โดย
Bühler
คาดการณ์ว่า ในปี 2025
ความต้องการชิ้นส่วนยานยนต์ที่ผลิตด้วยกระบวนการ HPDC จะอยู่ในตลาดยุโรปมากที่สุดด้วยจำนวน
4.8 ล้านชิ้นต่อปี เติบโตเฉลี่ยปีละ 4% ตามด้วยจีนที่จำนวน 1.9 ล้านชิ้น
เติบโตเฉลี่ยปีละ 7% และอเมริกาเหนือที่ 1.7 ล้านชิ้น เติบโตเฉลี่ยปีละ 18%
High
Pressure Die Casting (HPDC) คืออะไร?
High
Pressure Die Casting (HPDC) คือ
กระบวนการผลิตชิ้นงานที่โลหะหลอมเหลวถูกฉีดเข้าไปยังแม่พิมพ์ซึ่งถูกปิดไว้ด้วยแรงดันสูงจนกว่าโลหะหลอมเหลวจะแข็งตัว
ซึ่งการใช้แรงดันสูงช่วยให้โลหะหลอมเหลวเข้าไปในแม่พิมพ์เร็วกว่าการหล่อโลหะทั่วไปเป็นอย่างมาก
ช่วยลดฟองอากาศในชิ้นงาน และในกระบวนการฉีดโลหะเหลวเข้าไปยังแม่พิมพ์นั้น
จะต้องมีปริมาณมากเพียงพอที่จะให้ชิ้นงานมีขนาดตามต้องการหลังหดตัว
การใช้แรงดันสูงในการฉีดขึ้นรูปของ
HPDC
ทำให้สามารถผลิตชิ้นงานที่มีความบางได้ ดังนั้น HPDC ไม่จำกัดเพียงการนำไปใช้ผลิตสินค้าอุปโภคบริโภคเท่านั้น
แต่ยังใช้ผลิตชิ้นส่วนโครงสร้างสำหรับยานยนต์และอากาศยานได้อีกด้วย
โดยนาย
วันชัย ชุติมาวุฒิกุล DC Appliction Specialist (SEA) บริษัท บูห์เล่อร์ (ไทยแลนด์) จำกัด ระบุ
ปัจจุบันชิ้นส่วนอะลูมิเนียมมากถึง 70 - 80% ผลิตด้วยกระบวนการ High
Pressure Die Casting ซึ่งโรงงานในไทยเองก็มีการใช้งานเครื่องฉีดขึ้นรูปสำหรับการผลิตกระบวนการนี้อยู่เป็นจำนวนมาก
ผู้ผลิตบางรายอาจไม่ได้ลงทุนเครื่องจักรใหม่ที่ต้องใช้เงินลงทุนสูงก็หันไปใช้เครื่องจักรมือสองมาทดแทน
ข้อเสียของการใช้เครื่องมือสองมาผลิตงาน
คือ พบชิ้นงานเสียหรือชิ้นงาน defect จำนวนมาก
อย่างไรก็ตาม คุณสมบัติของอะลูมิเนียมที่รีไซเคิลได้ง่าย ต้นทุนไม่สูง
ทำให้ผู้ผลิตเหล่านี้ลดความสำคัญของการเกิดชิ้นงานเสียจำนวนมาก
และเลือกที่จะนำชิ้นงานเสียไปรีไซเคิลเพื่อนำอะลูมิเนียมกลับมาใช้ใหม่
แต่ในยุคปัจจุบันที่โลกกำลังเร่งปรับตัวเพื่อรับมือกับสภาพอากาศที่เปลี่ยนแปลงไป
ทำให้เกิดมาตรการต่าง ๆ เพื่อลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์และก๊าซเรือนกระจก
ทำให้การรีไซเคิลชิ้นงานเสียนี้กำลังเป็น Pain Point ของธุรกิจหล่อโลหะที่อาจถูกโจมตี หากผู้ผลิตเลือกลงทุนเครื่องจักรที่มีประสิทธิภาพก็จะสามารถลดชิ้นงานเสียให้น้อยลงหรือแทบไม่มี
ทำให้ประเด็นด้านสิ่งแวดล้อมของธุรกิจนี้เบาบางลง
และยังช่วยยกระดับประสิทธิภาพการผลิตโดยองค์รวมได้อีกด้วย
ชิ้นงานเสียถูกนำไปรีไซเคิล
พัฒนา ‘บุคลากรสายอะลูมิเนียม’
รองรับการเติบโต
เมื่อ
‘อะลูมิเนียม’ มีบทบาทสำคัญในยุคยานยนต์ไฟฟ้าที่กำลังเติบโตเช่นนี้
แน่นอนว่าบุคลากรที่มีความรู้ความเชี่ยวชาญด้านอะลูมิเนียมในแขนงต่าง ๆ
ย่อมเป็นที่ต้องการของตลาดแรงงาน ซึ่งคณะวิศวกรรมศาสตร์
มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี มีหลักสูตรสำหรับนักศึกษาในระดับต่าง ๆ
ที่ต้องการเรียนในด้านนี้โดยเฉพาะ และหลักสูตรอบรมระยะสั้น บริการให้คำปรึกษา
รวมถึงบริการทดสอบและตรวจสอบสมบัติทางกลของวัสดุภายใต้ “คลินิกอุตสาหกรรม”
สำหรับบุคคลภายนอก เพื่อรองรับการเติบโตของตลาดบุคลากรสายอะลูมิเนียม
นอกจากนี้
ผศ.ดร.พร้อมพงษ์ ยังแนะนำถึงงบประมาณสนับสนุนจากภาครัฐฯ
สำหรับผู้ประกอบการที่ต้องการทำวิจัยและพัฒนาวัสดุใหม่ ๆ หรือกระบวนการผลิตใหม่
สามารถขอรับคำปรึกษาที่คณะฯ ได้เช่นเดียวกัน
‘อะลูมิเนียม’
ที่ถูกยกให้เป็นวัสดุแห่งอนาคต จึงยังมีเส้นทางในการพัฒนาต่อยอดไปได้อีก
โดยแนวโน้มการพัฒนาอะลูมิเนียมในอนาคตนั้นจะมุ่งไปที่การพัฒนาคุณสมบัติของอะลูมิเนียมด้วยการผสมธาตุใหม่
ๆ เป็นหลัก
ที่มา Mreport
วันที่ 22 ธันวาคม 2565