บีโอไอ (BOI) เผยทิศทางของเศรษฐกิจไทยหลังยุคโควิด-19 ถือเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญในการวางอนาคตของประเทศ
โมเดลเศรษฐกิจใหม่ที่จะช่วยให้ประเทศไทยเติบโตอย่างยั่งยืนต่อไป จะต้องอาศัยการลงทุนในอุตสาหกรรมใหม่
ๆ เพื่อช่วยยกระดับศักยภาพและการแข่งขันของไทยให้สอดรับกับการเปลี่ยนแปลงของโลก
และส่งผลต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทยในระยะต่อไป
สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน
(บีโอไอ) มีนโยบายส่งเสริมการลงทุนที่มีคุณค่า
เพื่อเพิ่มความสามารถในการแข่งขันยกระดับเศรษฐกิจไทยไปสู่การเติบโตอย่างยั่งยืน
ซึ่งในปี 2564
ที่ผ่านมาบีโอไอให้การอนุมัติส่งเสริมการลงทุน จำนวน 1,572 โครงการ มีมูลค่าเงินลงทุนรวม 511,900 ล้านบาท
โดยเป็นการอนุมัติให้การส่งเสริมการลงทุนในอุตสาหกรรมเป้าหมาย จำนวน 768 โครงการ คิดเป็นร้อยละ 49
ของจำนวนโครงการที่ได้รับอนุมัติให้การส่งเสริมการลงทุนทั้งสิ้น มีมูลค่ารวม 315,620 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 62 ของมูลค่าการอนุมัติให้การส่งเสริมทั้งสิ้น
การอนุมัติให้การส่งเสริมการลงทุนในอุตสาหกรรมเป้าหมาย
อยู่ในกลุ่มอุตสาหกรรมการแพทย์ 69
โครงการ เงินลงทุนรวม 60,300 ล้านบาท มีโครงการที่น่าสนใจ เช่น
โครงการโปรตีนแอนติเจนและโปรตีนแอนติบอดีตัดแต่งพันธุกรรม
โครงการผลิตภัณฑ์เซลล์และยีนบำบัดเพื่อการรักษาโรคในกลุ่ม Car T Cell โครงการบริการทดสอบทางวิทยาศาสตร์และบริการถอดรหัสพันธุกรรมทั้งจีโนม
โครงการ Vaccine,
Monoclonal Antibody Drug, Therapeutic Protein โครงการวิจัยและพัฒนาด้านหัวเชื้อยับยั้งเชื้อไวรัสและแบคทีเรียที่ใช้สำหรับอุตสาหกรรมการผลิตสิ่งทอ
เป็นต้น
สำหรับในอุตสาหกรรมระบบอัตโนมัติและหุ่นยนต์มีจำนวน
14 โครงการ เงินลงทุนรวม 1,150 ล้านบาท มีโครงการที่น่าสนใจ เช่น
โครงการประกอบหุ่นยนต์ Parallel
Link Robot โครงการระบบเครื่องจักรอัตโนมัติที่มีขั้นตอนการออกแบบระบบอัตโนมัติและระบบควบคุมการปฏิบัติงานด้วยสมองกลเอง
โครงการวิจัยและพัฒนาหุ่นยนต์และระบบอัตโนมัติ เป็นต้น
ในส่วนอุตสาหกรรมยานยนต์และชิ้นส่วน มีจำนวน 99
โครงการ เงินลงทุนรวม 32,520 ล้านบาท และอุตสาหกรรมดิจิทัลมีจำนวน 120 โครงการ เงินลงทุนรวม 5,210 ล้านบาท มีโครงการที่น่าสนใจ เช่น
โครงการพัฒนาซอฟต์แวร์สำหรับการจัดเก็บและวิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้ AI (Artificial Intelligence) และ ML (Machine Learning) เป็นต้น
จะเห็นได้ว่าการลงทุนในอุตสาหกรรมเป้าหมายที่ได้รับการส่งเสริมการลงทุนจากบีโอไอเป็นอุตสาหกรรมที่ใช้เทคโนโลยีขั้นสูง ที่ช่วยยกระดับเศรษฐกิจไทยไปสู่การเติบโตในอนาคต
นอกจากนี้
จากการสำรวจความคืบหน้าของโครงการที่ได้รับอนุมัติให้การส่งเสริมการลงทุนในปี 2564
เพื่อประเมินผลจากนโยบายส่งเสริมการลงทุนที่มีต่อเศรษฐกิจและสังคมไทยในหลายด้าน
พบว่า โครงการที่ได้รับการอนุมัติให้การส่งเสริมการลงทุนในปี 2564 คาดว่าจะทำให้มูลค่าการส่งออกของประเทศเพิ่มขึ้นประมาณ
842,603 ล้านบาทต่อปี
โดยกลุ่มผลิตภัณฑ์ที่มีการส่งออกมากที่สุด ได้แก่
อุตสาหกรรมเครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ มูลค่าประมาณ 372,959 ล้านบาท
โครงการที่ได้รับการอนุมัติให้การส่งเสริมการลงทุน ในปี 2564 ช่วยสร้างงานให้คนไทย 113,562 ตำแหน่ง โดยโครงการในหมวดเครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ มีการจ้างงานเป็นอันดับ 1 คิดเป็นร้อยละ 40 ของการจ้างแรงงานไทย หรือมีการจ้างงานประมาณ 45,081 ตำแหน่ง รองลงมา คือหมวดอุตสาหกรรมเบา คิดเป็นร้อยละ 20 หรือประมาณ 22,662 ตำแหน่ง และหมวดผลิตภัณฑ์โลหะ เครื่องจักร และอุปกรณ์ขนส่ง คิดเป็นร้อยละ 14 ของการจ้างแรงงานไทย หรือประมาณ 15,923 ตำแหน่ง
โครงการที่ได้รับการอนุมัติให้การส่งเสริมการลงทุนส่วนใหญ่
และมีการจ้างแรงงานจำนวนมาก ในปี 2564
อยู่ในหมวดเครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ ซึ่งเป็นอุตสาหกรรมที่มีความต้องการเพิ่มสูงขึ้นมาก
ทำให้ผู้ผลิตสินค้ามีการลงทุนและปรับเปลี่ยนสายการผลิตใหม่ให้สอดรับกับความต้องการของตลาด
ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่าไทยยังคงเป็นฐานผลิตที่สำคัญของอุตสาหกรรมในภูมิภาคนี้
นอกจากนี้
โครงการที่ได้รับอนุมัติให้การส่งเสริมการลงทุนยังมีการใช้วัตถุดิบในประเทศ
มูลค่าประมาณ 711,335 ล้านบาทต่อปี คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 60 ของมูลค่าวัตถุดิบทั้งหมด
โดยโครงการในหมวดผลิตภัณฑ์โลหะ เครื่องจักร และอุปกรณ์ขนส่ง
จะใช้วัตถุดิบในประเทศมากเป็นอันดับ 1 มูลค่าประมาณ 282,126 ล้านบาทต่อปี หรือคิดเป็นสัดส่วนประมาณร้อยละ 74 ของมูลค่าการใช้วัตถุดิบทั้งหมด
รองลงมาเป็นหมวดเกษตรกรรมและผลิตผลจากการเกษตร ประมาณ 164,697 ล้านบาทต่อปี
และหมวดอุตสาหกรรมเครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ ซึ่งจะใช้วัตถุดิบในประเทศ 93,786 ล้านบาท
จะเห็นได้ว่า
การส่งเสริมการลงทุนของบีโอไอ ก่อให้เกิดประโยชน์ต่อเศรษฐกิจและสังคมไทยในหลายด้าน
โดยในด้านเศรษฐกิจ
การส่งเสริมการลงทุนทำให้จีดีพีของประเทศขยายตัวคิดเป็นมูลค่าเฉลี่ย 480,000 ล้านบาทต่อปี
รวมทั้งยังมีส่วนสำคัญในการยกระดับชีวิตความเป็นอยู่ของแรงงานจากการจ่ายค่าจ้างที่สูงขึ้น
ช่วยเพิ่มผลิตภาพแรงงาน สร้างรายได้ให้กับประเทศจากการส่งออก
สร้างมูลค่าเพิ่มจากการใช้วัตถุดิบในประเทศ ก่อให้เกิดการวิจัยและพัฒนา
เพื่อยกระดับเทคโนโลยีและนวัตกรรมของประเทศ ตลอดจนการพัฒนาทักษะองค์ความรู้ใหม่ ๆ
ที่สอดรับกับกระแสการเปลี่ยนแปลงของโลก ซึ่งเป็นส่วนสำคัญที่ทำให้เศรษฐกิจเติบโตอย่างยั่งยืนในอนาคต
ที่มา M Report
วันที่ 22 มิ.ย. 2565