อว. ร่วมด้วย เอ็มเทคและทีจีไอ (TGI) พัฒนาหุ่นยนต์เพื่อการปิเปตต์ (Robitic pipette) สร้างความปลอดภัยให้บุคลากรทางการแพทย์ช่วงการตรวจผู้ป่วย
COVID-19 ใช้จริงแล้วที่รพ.จุฬาภรณ์
กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม
(อว.) โดยกองส่งเสริมและประสานเพื่อประโยชน์ทางวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม
(กปว.) ศูนย์เทคโนโลยีโลหะและวัสดุแห่งชาติ (MTEC) ร่วมกับ
สถาบันไทย - เยอรมัน (TGI)
ศูนย์พันธุศาสตร์การแพทย์
โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ และ บริษัท พี ที ดับบลิว เทคโนโลยี
แถลงข่าวความสำเร็จในการสร้างหุ่นยนต์เพื่อการปิเปตต์ (Robots for pipette) เป็นผลงานที่พัฒนาใต้ "โครงการพัฒนาสร้างเครื่องจักรต้นแบบด้วยกระบวนการวิศวกรรมเพื่อการสร้างสรรค์คุณค่า"
วนิดา บุญนาคค้า ผู้อำนวยการ กปว. กล่าวว่า
ผลสำเร็จของการพัฒนาหุ่นยนต์เพื่อการปิเปตต์
พัฒนาขึ้นเนื่องจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส COVID-19 เพื่อเป็นต้นแบบสำหรับนำไปใช้ในห้องปฏิบัติการทางการแพทย์สำหรับการตรวจหาเชื้อ
ช่วยลดความเสี่ยงให้กับบุคคลากรทางการแพทย์
และยังสามารถประยุกต์ใช้กับกระบวนการด้านอื่น ๆ ในห้องปฏิบัติการทางการแพทย์ได้
อีกทั้งยังตอบสนองต่อนโยบายรัฐบาล Thailand 4.0 ที่มีการประยุกต์ใช้ระบบอัตโนมัติและหุ่นยนต์ในทางการแพทย์
และสามารถพัฒนาไปสู่การใช้ประโยชน์เชิงพาณิชย์
ลดการนำเข้าเครื่องจักรจากต่างประเทศ
เพิ่มขีดความสามารถในห้องปฏิบัติการทางการแพทย์
และยังลดการใช้แรงงานและความเสี่ยงต่อการสัมผัสเชื้อโรคต่าง ๆ
สมชาย จักรกรีนทร์ ผู้อำนวยการ TGI กล่าวว่า TGI
เป็นหน่วยงานเครื่อข่ายของกระทรวงอุตสาหกรรมมีหน้าที่หลักคือ
ช่วยพัฒนาและยกระดับขีดความสามารถการแข่งขันของผู้ประกอบการภาคเอกชนไทย
มีแนวคิดพัฒนาเครื่องจักรสำหรับใช้งานทางการแพทย์
เพื่อสร้างความปลอดภัยให้กับบุคลากรทางการแพทย์ในช่วงที่เกิดการแพร่ระบาดของไวรัส
COVID-19 จึงได้ร่วมกับ บริษัท พี ที ดับบลิว
เทคโนโลยี ซึ่งเป็นผู้ประกอบการภาคเอกชน ที่มีความสนใจและมีความพร้อม
ร่วมพัฒนาเทคโนโลยีเครื่องจักรกลต้นแบบ
โครงการนี้ประสบความสำเร็จได้ ด้วยการสนับสนุนจาก
สป.อว. ในฐานะหน่วยงานผู้ให้ทุนผ่านโครงการสร้างเครื่องจักรต้นแบบ โดยมีศูนย์เทคโนโลยีโลหะและวัสดุแห่งชาติ
สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ เป็นหน่วยงานบริหารจัดการโครงการ
การพัฒนาหุ่นยนต์เพื่อการปิเปตต์มีวัตถุประสงค์เพื่อเป็นต้นแบบสำหรับมอบให้ศูนย์พันธุศาสตร์การแพทย์
โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ได้ใช้ประโยชน์
หุ่นยนต์เพื่อการปิเปตต์จะมาช่วยในขั้นตอนการเปิดหลอดตัวอย่างส่งตรวจ
COVID-19 และแบ่งตัวอย่างลงในหลอดทดลอง 2 หลอด
หรือมากกว่านั้นตามความต้องการ เพื่อนำไปตรวจ วิเคราะห์ และแยกเก็บไว้ทวนสอบ
หรือเพื่อวัตถุประสงค์อื่น ๆ
หุ่นยนต์เพื่อการปิเปตต์สำหรับการปฏิบัติงานทางการแพทย์มีประโยชน์
ดังนี้
ด้านบุคลากร: สามารถลดบุคลากรจาก 3 คน เหลือเพียง 1
คน ในการ operate หุ่นยนต์แทนการใช้แรงงานคน
ด้านความปลอดภัย:
บุคลากรแค่วางหลอดที่ยังไม่เปิดฝาไว้บน rack
จากนั้นแขนกลจะดำเนินการเปิดหลอดและแบ่งตัวอย่างตามที่โปรแกรมไว้
ทำให้ความเสี่ยงในการติดเชื้อลดลง
ด้านกระบวนการ:
สามารถวางหลอดตัวอย่างในปริมาณมากพร้อม ๆ กันได้
โดยหุ่นยนต์สามารถเปิดและแบ่งตัวอย่างทีละตัวอย่าง มีความแม่นยำ สามารถทวนสอบได้
และมีความรวดเร็ว
ด้านเวลา: ลดระยะเวลาในการเตรียมและแบ่งตัวอย่าง
จากเดิมใช้เวลาในการเตรียมตัวอย่างละประมาณ 5 นาที เหลือไม่เกิน 1 นาที
และสามารถทำงานต่อเนื่องได้ 24 ชั่วโมง รวมทั้งสามารถเพิ่มหุ่นยนต์เพื่อทำงานเป็น parallel ในกรณีที่มีตัวอย่างมาเป็นจำนวนมาก
ด้านค่าใช้จ่าย: ลดค่าใช้จ่าย เช่น อุปกรณ์ PPE ของเจ้าหน้าที่ 3 คน เหลือเพียง 1 คน
เนื่องจากหากมีการส่งตัวอย่างไม่สม่ำเสมอ บุคลากรก็จะต้องเปลี่ยนชุด PPE ทุกครั้งที่ต้องจัดการตัวอย่าง
ซึ่งทำให้เกิดความสิ้นเปลือง
นอกจากนี้
เมื่อสถานการณ์เป็นปกติ ยังสามารถจะนำหุ่นยนต์เพื่อการปิเปตต์ไปประยุกต์ใช้ประโยชน์ได้หลากหลาย
เช่น ขั้นตอน sample
pre-processing ของการตรวจวิเคราะห์ในห้องปฏิบัติการทางการแพทย์ทุกชนิด
การเตรียมยาที่เป็นอันตราย เช่น ยาเคมีบำบัด,
การตรวจวิเคราะห์อาหาร
การตรวจคุณภาพสิ่งแวดล้อม เช่น ตัวอย่างน้ำ ดิน, การเตรียมสารผสม
จากสารตั้งต้นในโรงงานอุตสาหกรรมที่ต้องการความปลอดภัย และความแม่นยำสูง
ทั้งนี้ หากต้องการสอบถามข้อมูลเพิ่มเติม
สามารถติดต่อสอบถามได้ที่ กองส่งเสริมและประสานเพื่อประโยชน์ทางวิทยาศาสตร์
วิจัยและนวัตกรรม สำนักงานปลัดกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม
(สป.อว.) เบอร์โทร 0 2333 3924/ 0 2333 3949/ 0 2333 3956 หรือ e-mail : machine@mhesi.go.th
ที่มา
กรุงเทพธุรกิจ
วันที่
เผยแพร่ 24/5/2565